ข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการ”วิสามัญ”เพื่อติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติตามพระราชกำหนดกู้เงินจำนวน 1.9 ล้านล้านบาทสำคัญ
ยิ่งเป็นการเสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ยิ่งสำคัญ
นี่เป็นอีกจังหวะก้าวทางการเมืองเหมือนกับการเคลื่อนไหวในเดือนเมษายนให้มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณา”ร่างพระราชกำหนดกู้เงิน”
นั่นก็คือ เป็นข้อเสนอเพื่อตรวจสอบถึง “จิตสำนึก”ในทางการเมือง มากยิ่งกว่าจะประเมินหรือคาดหมายว่าจะประสบความ สำเร็จอย่างแท้จริง
ความหมายก็คือ การประเมินจิตสำนึกทางการเมืองในฐานะผู้แทนปวงชน การประเมินจิตสำนึกทางการเมืองของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเป็นสำคัญ
เป็นการประเมินทั้งๆที่คาดหมายผล”ล่วงหน้า”ได้อย่างดี
มีข้อต่างเล็กน้อยระหว่างข้อเสนอให้เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ กับ ข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อ ตรวจสอบการปฏิบัติงานตามพระราชกำหนดเงินกู้
เพราะว่าข้อเสนอเมื่อเดือนเมษายนสามารถอ้างได้ว่าเดือน พฤษภาคมก็จะเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญอยู่แล้ว
เหลือเวลาเพียง 1 เดือนน่าจะสามารถรอได้
ท่าทีจากพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะจากพรรคประชาธิปัตย์จึงเฉยๆ
แต่สำหรับข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติตามพระราชกำหนดไม่อาจใช้เหตุผลเดิมมาอ้างได้อีก
เพราะนี่คือภารธุระโดยตรงของสมาชิกแห่งรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล
ท่าทีของฝ่ายค้านมีความแจ่มชัด แต่ท่าทีของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจ ไทย พรรคชาติไทยพัฒนาจึงสำคัญ
นี่คือญัตติที่แบ่งจำแนกทางการเมืองได้อย่างแจ่มชัด
กระบวนการทางการเมืองของพรรคร่วมฝ่ายค้านจึงดำเนินไปในท่วงทำนองของบทเพลง”เราสู้”
นั่นก็คือ “กูจะสู้ แม้จะรู้ว่ากูแพ้”
ญัตตินี้จึงเท่ากับเป็นการโยนหินถามทางเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งสันปันน้ำในทางการเมือง
ที่สำคัญก็คือ เป็นสันปันน้ำระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน
ที่สำคัญก็คือ เป็นหินลองทองอันคมแหลมพิสูจน์ทราบธาตุแท้ของแต่ละพรรคการเมือง ณ เบื้องหน้าประชาชน