การปรากฏขึ้นของร่างพระราชบัญญัติเห็นชอบต่อพระราชกำหนด การกู้เงินจำนวน 1.9 ล้านบาท กับ การปรากฏขึ้นของญัตติด่วนจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบพระราชกำหนด
เป็นการปรากฏขึ้นอันมีลักษณะ “เปรียบเทียบ” อย่างมีนัยสำคัญในทางการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทาง “นิติบัญญัติ”
เพราะไม่เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นด้านอันเข้มแข็งของฝ่ายรัฐบาลที่กุมเสียงข้างมาก ด้านอ่อนแอของฝ่ายค้านที่กุมเสียงข้างน้อยกว่า
หากยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่ารากฐานของการเป็นเสียงข้างมาก และรากฐานของการเป็นเสียงข้างน้อย มีคุณภาพหรือไม่มีคุณภาพในทางการเมือง
คำนึงถึงบทบาทของการถ่วงดุลระหว่าง “อำนาจนิติบัญญัติ” กับ “อำนาจบริหาร” อย่างเคร่งครัดหรือไม่
“เส้นแบ่ง” ทางการเมืองนี้ชี้ทิศทาง ชี้อนาคตประชาธิปไตย
การต่อสู้ทางการเมืองในห้วงกว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมาได้ให้ภาพ เปรียบทางการเมืองให้เห็นมากมายระหว่างเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท กับ เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท
แม้เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทจะมีความแจ่มชัดในทางรูปธรรม แม้จะผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา
แต่ก็ถูกตีให้ตกไปเพราะ “องค์กรอิสระ”
พระราชกำหนดเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ยอมรับว่าไม่มีความแจ่มชัดในทางรูปธรรม แม้จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่แม้จะเสนอญัตติด่วนจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ก็ถูกสกัดขัดขวาง ไม่เพียงแต่จากรัฐบาล หากที่สำคัญก็คือ พรรคพลังประชารัฐอันเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล
จุดเปรียบเทียบทางการเมืองจุดนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นจุดต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารหากยังสะท้อนภาวะผันแปรไม่แน่นอนทางการเมือง
ไม่ว่าประชาธิปไตยสุจริต ไม่ว่าประชาธิปไตยทุจริต ควรอย่างยิ่งที่จะสำเหนียกและตระหนัก
ความขัดแย้ง การแตกแยกในทางความคิดมีผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งและกว้างขวางในทางการเมือง
เรียกร้องสำนึกของ “วิญญูชน” อย่างหนักแน่นและจริงจัง
ไม่เพียงเป็นสำนึกถึงความรับผิดชอบต่อการตรวจสอบ และควบคุมการใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาล 1.9 ล้านล้านบาท ด้วยอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น
หากแต่ยังเป็นสำนึกของ “ผู้แทนปวงชน” ที่จะรั้งบังเหียนของม้า ณ เบื้องหน้าเหวลึกแห่งพัฒนาการ “ประชาธิปไตย”