ครอบครัว ‘วันเฉลิม’ เผย หากพ้นวันนี้ยังไร้คืบหน้า ‘ทำใจ’ จากตลอดกาล ยันไม่ใช่ ‘แอดมิน’ เพจดัง

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน จากกรณี นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือต้าร์ ผู้ลี้ภัยทางการเมือง หลังไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ถูกพาตัวขึ้นรถหายตัวอย่างลึกลับขณะแวะซื้อของหน้าอาคารที่พักในช่วงเย็นของวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา กระทั่งเกิดกระแสติดแฮชแท็ก#savewanchalearm รวมถึงการออกแถลงการณ์ของกลุ่มต่างๆ และการจัดกิจกรรมเรียกร้องความยุติธรรมบริเวณสกายวอล์ก หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนางสาวสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาว ซึ่งเป็นผู้คุยโทรศัพท์กับนายวันเฉลิมระหว่างถูกนำตัวขึ้นรถโดยกลุ่มชายที่พูดภาษาต่างประเทศ นางสาวสิตานันกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ในความรับรู้ของครอบครัวในขณะนี้ ยังไม่ทราบว่านายวันเฉลิมยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด ทางผู้ส่งข่าวซึ่งอยู่ต่างประเทศและติดต่อกันตลอดยังบอกให้หนักแน่นไว้ก่อน แต่ถ้าเกินวันนี้ (6 มิ.ย.) ก็ต้องทำใจแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป สภาพจิตใจของครอบครัว คุณแม่ทำใจไว้แล้วประมาณ 6 ปี ตั้งแต่ลี้ภัย โดยบอกว่าลูกได้เลือกทางเดินของตัวเองแล้ว แต่ตนยังทำใจไม่ได้ เพราะคุยกันทุกวัน ไม่รู้จะพูดอย่างไร สำหรับสาเหตุที่ถูกอุ้ม ยอมรับว่ามืดแปดด้าน เพราะเท่าที่คุยกันนายวันเฉลิมไม่ได้เคลื่อนไหวหรือยุ่งเรื่องการเมืองแล้ว แต่หันมาสนใจทำธุรกิจที่กัมพูชาเป็นหลัก จึงไม่ได้ระวังตัว

“เราก็พยายามบอกน้องแบบนี้ คือให้มาทางธุรกิจ แต่เรื่องที่เขาไปทำอะไรนอกเหนือจากที่เขาเล่าให้ฟัง เราก็ไม่รู้จริงๆ เขาเองก็ไม่ได้ระวังตัว เท่าที่คุยกัน เขาก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวการเมืองแล้ว เลยงง เขาไม่ได้เซฟตัวเอง ลงไปซื้อของปกติ คนเราถ้ารู้ว่ามีอะไรต้องระวังตัวหรือไม่ แต่ด้วยความที่เขาไม่ได้ยุ่ง ไม่ได้เคลื่อนไหวแล้วจึงไม่ระวังตัว ส่วนเรื่องเป็นแอดมินเพจ เคยถามเขา เขาก็บอกว่าไม่ได้เป็นแอดมินเพจอะไรเลย มีแต่เฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างเดียวเท่านั้น ศาลก็ยกฟ้องไปแล้ว ไม่ทราบว่าทำไมมีคนนำไปโยง เราเห็นข่าวในทวิตเตอร์ อยากบอกตรงนี้ว่า น้องเราไม่เคยเป็นแอดมินเพจไหน จากสำนวนการเขียนก็ไม่ใช่อยู่แล้วและหากได้เงินจากทักษิณ 100 ล้านจริงๆ ครอบครัวคงไม่ลำบากแบบนี้

ส่วนประเด็นลี้ภัยไปยุโรป ปลายปีที่แล้ว น้องบอกว่ามีคนมาถามว่าจะลี้ภัยไปยุโรปหรือไม่ เพราะห่วงความปลอดภัย จากการที่มีผู้ลี้ภัยถูกอุ้ม เลยบอกให้ตัดสินใจด้วยตนเอง เราให้คำปรึกษาไปในแนวทางว่าถ้าไปฝรั่งเศสจะไปทำอะไร จะอยู่อย่างไร อยู่ที่นี่เขามีพรรคพวกที่มีคอนเน็กชั่น มีคนรู้จัก เราเลยถามเขาว่า ถ้าไม่ยุ่งเรื่องการเมืองแล้วมาโฟกัสเรื่องธุรกิจดีไหม เพราะคนที่สนิทกับเขามีที่ดินว่างเปล่าที่ทำการเกษตรได้ พอเกิดโควิด เกิดปัญหาเรื่องอาหาร ก็มาคุยกันว่าเดี๋ยวจะปลูกอ้อย ปลูกข้าว ปลูกกล้วยหอม มีนักธุรกิจที่กัมพูชาได้สัมปทานปลูกกล้วยหอมมา เรามองว่าการเมืองมันซาไปแล้ว ไม่มีอะไร ทำไมจึงกลับมาเกิดเรื่องนี้ได้ก็ไม่รู้จริงๆ” นางสาวสิตานันกล่าว

Advertisement

นางสาวสิตานันกล่าวว่า ส่วนข่าวว่าทหารไปหาคุณแม่ที่จังหวัดอุบลราชธานี จริงๆ แล้วเป็นตำรวจ ไปถามว่าวันเฉลิมอยู่ไหม กลับมาบ้านหรือเปล่า ซึ่งตนและคุณแม่มองว่าเป็นการมาติดตามคนหนีคดีตามปกติมากกว่า ส่วนจะเชื่อมโยงกับการพาตัวน้องชายครั้งนี้หรือไม่ ตนไม่ทราบจริงๆ ก่อนหน้านี้น้องชายทราบว่าถูกติดตามจากชายแปลกหน้าคนไทย 3 ราย จึงแอบถ่ายภาพไว้ขณะอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งและบอกเพื่อนๆ ให้รับทราบ ตนยังบอกให้ระวังตัว แต่เพื่อนเขาเคยเตือนว่าให้ย้ายที่อยู่ ความรู้สึกในขณะนี้ ตนไม่ได้โกรธเคืองใคร เราแค่อยากได้น้องชายเราคืน หรือถ้าไม่คืน ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องของความคิดเห็นที่แตกต่าง เหมือนจอดรถแล้วทะเลาะกันยิงกัน ย้อนกลับมาไม่ได้ ต้องคิดว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ทำอะไรได้บ้างกับการเรียกร้องสิทธิ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image