เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการเสวนาวิชาการ หัวข้อ “ทิศทางรัฐธรรมนูญไทย” โดยนนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคพท. กล่าวเปิดงานว่า นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท.และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวเปิดงานว่า วันนี้เป็นสำคัญ ประเทศไทยล้มลุกคลุกคลาน ฉีกรัฐธรรมนุญไม่รู้กี่ครั้ง ผู้ที่ข้ามาร่างก็จะร่างแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ได้คิดถึงประชาชน ขอเรียกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า “ฉบับเสื้อคลุมประชาธิปไตย สอดไส้เผด็จการ” เป็นรัฐธรรมนูญแห่งความย้อนแย้ง สร้างภาพหลอนให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ แต่แท้จริงแล้วประชาชนไม่มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ใช้อรหันต์ 80 คนรับคำสั่งเข้ามา ร่างแบบผิดเพี้ยน เจือจุนให้กับเผด็จการ แทนที่จะร่างเพื่อความต้องการของคนส่วนรวม ทำลายระบบพรรคการเมืองของประชาชน แต่สร้างพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของผู้มีอำนาจ คือ พรรค สว. ตนป็น ส.ส.มา 30 ปี ไม่เคยมรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ แบบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นายกฯ ไม่ใช่คนที่ประชาชนเลือกเข้ามา สร้างระบบรัฐซ้อนรัฐ โดยใช้ยุทธศาสตร์ชาติ สร้างยุทธศาสตร์ชาติที่เป็นกฎหมาย เป็นเครื่องมือสำหรับทำลายรัฐบาลหากเป็นฝ่ายตรงข้ามกับขั้วอำนาจปัจจุบัน ดังนั้นเราต้องแก้รัฐธรมนูญเพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไขยาก ประชาชนต้องออกมาช่วยกันคิดว่าจะแก้รัฐธรรมนูให้ไปทางไหน เพราะไม่ว่าจะเลือกตั้งกี่ครั้ง เราจะได้นายกฯ แต่คนนี้ ดังนั้นเราต้องช่วยกันให้ความเห็นให้กว้างขวาง เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ได้
ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคพท. กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิทธิของประชาชน สิทธิของพลเมือง การเข้าถึงทรัพยากรของประเทศมีความเหลื่มล้ำมากจากผลพวงของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยสิ่งที่เสียหายจากการเขียนรัฐธรรมนูญด้วยน้ำมือของเผด็จการคือการริดรอนสิทธิ และโอกาสของพี่น้องประชาชน ดังนั้น พรรคการเมืองอย่างพรรคพท.จึงมีหน้าที่จะยืนอยู่แถวหน้าในการแก้ไขสิ่งที่ริดรอดสิทธิ และประโยชน์ของประชาชน เราต้องร่วมเขียนรัฐธรรมนูญร่วมกัน ไม่ใช่มีคนไม่กี่คนที่มาจากเผด็จการมาเขียน ทุกคนสามารถร่วมกันเขียนรัฐธรรมนูญของตัวเองได้ผ่านช่องทางของพรรคพท. เราช่วยกันเปลี่ยนแปลง ล้มสิ่งที่เป็นทุกข์ของประชาชนออกไป ลบสิ่งที่เป็นทุกข์ของประชาชนออกไป แล้วช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
จากนั้นนายโภคิน พลกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคพท. กล่าวว่า ปัจจุบันผู้คนสนใจเรื่องรัฐธรรมนูญมากขึ้น เด็กรุ่นใหม่ๆ เข้าใจว่ารัฐธรมนูญคือหัวใจของทุกอย่าง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและประชาชน แต่ตอบโจทย์คนร่าง ลงประชามติแบบไม่เสรี ไม่เป็นธรรม ที่ผ่านมาใครไม่เห็นด้วยพูดตรงไปตรงมาก็ถูกดำเนินคดี และอย่าไปเชื่อว่ารัฐรรมนูญไม่เกี่ยวกับปากท้องและวิถีชีวิต ซึ่งอำนาจการปกครองเป็นของราษฎรหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้สิทธิแต่ไม่ให้โอกาสประชาชน ดังนั้นจำเป็นต้องแก้ให้เป็นประชาธิปไตย ต้องฟังเสียงประชาชน ไม่ต้องฟังทั้ง 65 คนหรอก แต่ปัญหาคือหากคุณเป็นคนยากจน ตะโกนเสียงดัง ก็ไม่มีใครได้ยิน แต่พอเจ้าสัวแค่กระแอม ผู้มีอำนาจกลับเงี่ยหูฟังทันที
นายโภคิน กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญในอดีตตั้งแต่หลังปี 2475 จนมาถึงยุคปี 2539 รัฐธรรมนูญน่าสนใจขึ้นเมื่อเริ่มมีการเสนอให้มีการปฏิรูปผ่าน ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งประชาชนมีส่วนร่วม มีการรับรองสิทธิประชาชนมากขึ้น เสนอร่างกฎหมายถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง มี ส.ส.ระบบสัดส่วนได้ ซึ่งพรรคไทยรักไทยได้เข้ามาบริหารประทศแบบเต็มกำลัง ปี 2543-2549 เศรษฐกิจกำลังดีขึ้นมาก ทัศนคติประชาชนเปลี่ยน สามารถเสนอความต้องการได้ แต่พอถึงยุคปัจจุบันกลับไม่ชอบรัฐธรรมนูญปี 2540 มองว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา ซึ่งแปลกมาก ฉีกรัฐธรรมนูญปล่อยให้เนติบริกรเข้ามาเขียนรัฐธรรมนูญตามใจชอบ แล้วประชาชนอยู่ตรงไหน พอรัฐธรรมนูญปี 2550 และปี 2560 เผด็จการเอารัฐรรมนูญไปทำประชามติอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ฟรีและแฟร์ ทั้งนี้ กรรมาธิการในซีกฝ่ายค้านกำลังผลักดันให้ร่างใหม่ทั้งฉบับ เราเสนอให้มี ส.ส.ร.200 คนให้ประชาชนเลือกเข้ามาเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ หากปล่อยไว้ไม่แก้ก็จะได้ลุงตู่เข้ามาบริหารประเทศอีก หากได้พรรคการเมืองต่ำกว่า 20 พรรคมาร่วมรัฐบาล ให้เข้ามาด่าตนได้เลย รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อความซวยของคนไทย ทำลายพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องการให้ชนะเป็นเสียงข้างมาก ต่อให้ชนะก็เป็นรัฐบาลไม่ได้ มีองค์กรอิสระคอยช่วยเหลือ ฝ่ายเขาทำผิดทุกอย่าง องค์กรอิสระบอกถูกทุกอย่าง ทำได้หมด ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกันกดดันเพื่อให้เกิด ส.ส.ร.เข้ามาร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
นายชัยเกษม นิติสิริ คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพท. และกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 กล่าวว่า การทำงานในกมธ.ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจตนสักเท่าไหร่ เพราะมีการเซ็นต์ชื่อแล้วออกไป คนที่มาร่วมประชุม หรือมาแสดงความคิดเห็นจะมีมากกว่าเสียอีก ส่วนเนื้อหา เราคงจะต้องศึกษา และร่วมกันหาทางออกกันอีกพอสมควร ทุกเรื่องมีการเสนอปัญหา ไม่เว้นแม้แต่มาตราเดียว แต่ยังไม่ได้มีข้อยุติ ซึ่งในอนาคตเราคงตต้องหาข้อยุติให้ได้ แต่เรื่องที่เรามีการถกเถียงกันพอสมควรคือ เรื่องการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งตนแแสดงความเห็นว่าตนไม่เห็นด้วยกับแนวทางแบบนี้ เพราะการปฏิรูปเป็นเรื่องของรัฐบาลในการวางแนวทางการบริหาร ส่วนยุทธศาสตร์วางได้ แต่ไม่ใช่วางแบบที่วางอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทั้งการวางไว้ 20 ปี และตั้งคณะกรรมการที่สรรหากันมาเอง ซึ่งตนเชื่อว่า ไม่สามารถทำได้ตามแนวทางที่วางไว้ ได้เพียงแต่วาดฝันเอาไว้ ทั้งนี้ สภาพปัญหาที่มีการตั้งข้อสังเกตกันในกมธ. คือ การวางยุทธศาสตร์ชาติไม่สามาถวางไว้ยาวๆได้ แต่การวางยุทธศาสตร์ไว้แบบนี้ มีการเลือกตั้งอย่างนี้ เขาอาจจะตั้งใจทำให้ได้จริงๆก็ๆได้ เพราะอาจจะตั้งใจอยู่ให้ครบ 20 ปี เพื่อทำอะไรๆให้ได้ตามที่ต้องการ ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป แต่พวกเราคงไม่ยอม ส่วนจะสำเร็จแค่ไหน อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จะต้องช่วยกัน นอกจากนี้ การกำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้นกำกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติทำให้รัฐราชการ ใหญ่กว่าฝ่ายการเมือง ดังนั้น ฝ่ายการเมืองที่ไม่ใช่พวกเดียวกันกับคนที่กำกับยุทธศาสตร์นี้คงบริหารประเทศอย่างยากลำบาก
นายชัยเกษม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมกมธ.ยังได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรตุลาการ เพราะขณะนี้มีปัญหาว่าไม่มีอำนาจให้ฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรตรวจสอบ หรือองค์กรอื่นๆตรวจสอบการใช้อำนาจดุลพินิจของตุลาการได้ บางครั้งมีคำวินิจฉัยที่ขัดต่อความรู้สึกของประชาชนเป็นอย่างมาก และการใช้ดุลพินิจไม่รับพยานหลักฐานก็ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยในข้อมูล ที่ประชุมกมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญจึงมีการเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญในส่วนนี้ โดยให้อำนาจกมธ.ในการเรียกผู้พิพากษา และตุลาการมาให้ความเห็น หรือสอบถามเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาพิพากษาคดีว่าชอบ หรือถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือไม่ แต่ก็มีการเสนอว่าจะต้องไม่ผูกพันกันคำตัดสินที่ได้ตัดสินไปแล้ว เป็นต้น ต่อมาคือ กรณีที่ผู้พิพากษาหรือตุลาการออกไปทำงานอย่างอื่น หรือมีเหตุปัจจัยให้ไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยอิสระ เช่น การให้ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ไปดำรงตำแหน่งนายกฯสภามหาวิทยาลัยที่มีองค์ประกอบที่อาจะทำให้เกี่ยวข้องกับการเมืองได้ เป็นต้น
นายเอกพันธุ์ ปิณฑวณิช ผู้อำนวยการโครงการจัดตั้งสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่เป็นธรรมของรัฐ ขณะที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ซึ่งเป็นพันธสัญญาระหว่างรัฐกับประชาชนที่อยู่ในรัฐ คือต้องรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน ขณะเดียวกันต้องใช้ชีวิตอยู่ได้ปกติสุขตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น และการรับประกันความยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ท้ายที่สุความยุติธรรมไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมเสมอกัน แต่อาจจะต้องปกป้องคนที่อ่อนแอ สร้างความเท่าเทียมในสังคม ที่ต้องรับประกันการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ อย่างไรก็ตามหากมีรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จะกระเดียดไปทางอำนาจนิยม อย่างน้อยต้องเอื้ออำนวยใน 3 เรื่อง คือ เอื้ออำนวยให้คนกลุ่มใดลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่งสามารถใช้อำนาจไปกดขี่ข่มเหงผู้อื่นได้ รัฐธรรมนูญทำให้สังคมอ่อนระโหยโรยแรง ยอมกับการถูกขดขี่ จะออกมาต่อสู้ยากมา และมีความพยายามส่งต่อแนวคิดการใช้อำนาจในการกดขี่ไม่ใช่จากรัฐบาลต่อรัฐบาล อาจจะเป็นคนรุ่นต่อรุ่นก็เป็นไปได้ ทำให้ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารจะมีคนกลุ่มหนึ่งในสังคมเอาดอกไม้ไปให้คณะรัฐประหาร ในส่วนของกระบวนการเป็นประชาธิปไตย จะต้องลบล้างความเป็นอำนาจนิยมอออกไป โดยต้องเกิดกระบวนการให้อำนาจประชาชนจริงๆ
ขณะที่นายวัฒนา เมืองสุข คณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคพท. และกรรมาธิการ(กมธ.)ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 กล่าวว่า ถามว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ดี เพราะขาดการมีส่วนร่วม วันนี้จะชี้ว่าหากออกจากรัฐธรรมนูญนี้จะทำให้กินได้จริงหรือเปล่า วันนี้สถานะทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และสถานะทางการคลังนั้นถือว่าน่าเป็นห่วงมากว่าเส้นทางข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะจบแบบไหน วันนี้รัฐบาลอยู่ได้ด้วยเงินกู้ การกู้เงินของรัฐบาลวันนี้ขึ้นไปที่ 58 %ของจีดีพี ซึ่งมีโอกาสก่อหนี้สาธารณะได้อีก 2% หรือเป็นเม็ดเงินประมาณ 3 แสนล้านบาท ถ้าเศรษฐกิจปี64ไม่ดี จะไม่สามารถก่อหนี้ได้อีกแล้ว จะเหมือนกับบัตรเครดิตที่เต็มวงเงิน ขณะที่สถานะทางการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่าสินเชื่อทั้งระบบมีประมาณ 15 ล้านล้านบาท แต่เป็นหนี้เสียแล้ว 5 แสนล้านบาท และเป็นหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ 1.2 ล้านล้านบาท คาดการว่าภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ที่จะพ้นระยะการผ่อนผันการชำระหนี้ จะมีหนี้เสียอยู่ในระบบประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท ประมาณ 15 %ของสินเชื่อทั้งระบบ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ธปท.แจ้งกับธนาคารพาณิชย์ว่ายังไม่ควรมีการจ่ายเงินปันผล เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินจะได้สามารถเพิ่มทุนและจ่ายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นไป ที่กำลังบอกคือ สถานะทางการคลังของประเทศนั้นน่าเป็นห่วง ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญ เพราะการบริหารราชการแผ่นดินสิ่งสำคัญ คือ ความเชื่อมั่น ในทางเศรษฐกิจก็ต้องมีทั้งความเชื่อมั่นและความมั่นใจ
นายวัฒนา กล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจถ้าคนไม่เห็นความเชื่อมั่นก็จะหยุดการใช้เงินและหายนะก็จะตามมา ผลของรัฐธรรมนูญ อย่างแรก คือ สร้างความมั่นคงกับระบบการเมือง เลือกตั้งมากี่ครั้งก็จะได้หน้าตามาแบบนี้ ถ้าการเมืองไม่มั่นคงก็ทำให้คนไม่เชื่อมั่น ยกตัวอย่างตั้งแต่ปี 46-49 การจัดเก็บรายได้ได้เกินเป้ามาตลอด แต่มาดูตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมาการจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้ามาติดลบมาโดยตลอดนี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า หลังการปฏิวัติจะส่งผลให้เศรษฐกิจเสียหาย โดยตั้งแต่ปี 57 รัฐบาลก็จัดทำงบประมาณแบบการกู้เงินมาโดยตลอดจนถึงงบฯปี64 ก็กู้เงินอีก 6.3 แสนล้านบาท จนเป็นรัฐบาลที่กู้เงินมากสุดเป็นประวัติศาสตร์ จนไม่รู้ว่าจะจัดงบฯที่สมดุลได้เมื่อใด การสร้างประชาธิปไตย คือ การสร้างความเชื่อมั่นให้เศรษฐกิจ ยกตัวอย่างประเทศที่ปกครองโดยประชาธิปไตยกับเผด็จการ อย่างประเทศเกาหลีเหนือ กับ ประเทศเกาหลีใต้เศรษฐกิจของประเทศใดดีกว่ากัน ทั้งที่ค่าแรงของเกาหลีเหนือถูกกว่า แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปลงทุนที่เกาหลีเหนือ เพราะอำนาจอยู่ที่ผู้นำคนเดียว ไม่มีกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่ยึดกับหลักสากล แต่ประเทศจีนพอเปลี่ยนมาเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี ทำให้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจดีขึ้น คำตอบคือ ถ้าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยไม่มีทางที่เศรษฐกิจจะดี เครื่องจักรทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมี 4 เครื่อง คือ การส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน และการบริโภคภายในประเทศ ขณะนี้เครื่องจักรทั้ง 4 ตัวดับหมด ธปท.คาดการณ์ว่าการส่งออกจะติดลบ 8 % การลงทุนและการบริโภคหดตัวต่อเนื่อง แต่รัฐบาลยังจัดงบประมาณฯมุ่งแต่เรื่องทำถนน ทั้งที่ควรจะต้องมารองรับการฟื้นฟูของสถานการณ์โควิด ทั้งเรื่องอาหารปลอดภัยและการท่องเที่ยว
“การเมืองในสภาพเสียงปริ่มน้ำในวันนี้ถ้าฝ่ายค้านไม่เมตตาไปช่วยร่วมลงชื่อให้ที่ประชุมสภาฯก็เปิดไม่ได้ อีกประเด็นคือ รัฐธรรมนูญนั้นออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อประชาชน ถ้าเราไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะได้ลุงหน้าเดิมๆมาเป็นนายกฯ แทนที่จะได้พรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากมาเป็นรัฐบาลแต่ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากกลับต้องมาเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ทางออกของประเทศ ทางเดียว คือ ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน นั่นคือเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยเศรษฐกิจจะดีขึ้นไม่ได้ เพราะถ้ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพก็ต้องมาดูแลตัวเอง ต้องเอาเวลามาป้อนกล้วยให้กับลิงไม่มีเวลามาดูแลประชาชน ต้องถามว่าทุกท่านต้องการการเมืองแบบไหน ถ้าเสียงของประชาชนร่วมด้วยทุกอย่างก็จะเดินหน้าได้ 88 ปีของระบอบประชาธิปไตย ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการคืนอำนาจให้กับประชาชน”นายวัฒนา กล่าว