‘อนุดิษฐ์’ ชำแหละ บิ๊กตู่ ‘บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำแห่งการก่อหนี้’

“อนุดิษฐ์” ติง รบ.จัดงบลักษณะแบบ “ฮั้ว” เอื้อกลุ่มทุน-พวกพ้อง-จงใจไม่ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์หลังโควิด ติ กำลังพล-นายพลเยอะ จนงบรายจ่ายประจำบวม

เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 1 กรกฎคม ที่รัฐสภา น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรค พท. ส.ส.กทม. อภิปรายว่า ไม่มีการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณครั้งไหนที่ตนห่วงใย และกังวลมากเท่าครั้งนี้ โดยข้อห่วงใยประการแรกคือ โครงสร้างของงบฯปี 64 ซึ่งรายจ่ายประจำ รวมรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้สูงมาก ใขณะที่รายได้ที่มาจากการจัดเก็บภาษีประมาณ 2.677 ล้านล้านบาท จะเห็นว่ารายจ่ายกับรายได้ใกล้เคียงกันมาก ซึ่งต้องจัดเก็บภาษีให้ได้เท่าที่ประมาณการ เพราะหากเก็บได้ต่ำกว่าที่ประมาณการจะไม่พอกับรายจ่ายประจำ และการชำระหนี้ โดยที่ผ่านมารายจ่ายประจำสูงขึ้นเรื่อยๆทุกปี ตั้งแต่ปี 2550-2564 สูงขึ้น 2.2 เท่า ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศลดลง หากท่านจัดงบประมาณแบบนี้แล้วปล่อยต่อไปจะทำให้ประเทศพังแน่นอน มีคนบอกไว้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะหลังจากที่ท่านยึดอำนาจมาโครงสร้างของการบริหารประเทศนั้นเพิ่มความเป็นรัฐราชการ รายจ่ายประจำจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น กำลังพลของกองทัพไทยที่มีทั้งสิ้นกว่า 3.6 แสนคน โดยมีนายทหารยศนายพลกว่า 1,400 คน ขณะที่สหรัฐอเมริกาที่มีกำลังรบทั้งในและนอกประเทศมีนายพลไม่เกิน 1,000 คน ซึ่งตนอยากชี้ให้เห็นว่า จำนวนข้าราชการที่มากเกินกว่าความจำเป็นทำให้รายจ่ายเยอะมาก กระทรวง ทบวง กรมอื่นๆ ก็เช่นกัน โดยสิ่งนี้เป็นภาระกับงบประมาณของประเทศ ดังนั้น ภากิจแรกของนายกฯ คือ ท่านต้องลดจำนวนข้าราชการลงอย่างจริงจัง เพื่อลดรายจ่ายประจำที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้มากที่สุด แล้วเปลี่ยนเป็นยรัฐประชาชน เพราะรัฐราชการไม่สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ แต่รัฐประชาชนสามารถผลิตภาษีให้ได้มากกว่าและจะทำให้รายจ่ายประจำลดลง ข้อห่วงใยประการต่อมา คือ รายได้ที่ประมาณการไว้ที่ 2,677,000 ล้านบาทนั้น ตนเชื่อว่าไม่สามารถจัดเก็บได้ตามที่ประมาณการอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่การยึดอำนาจปี 57 เป็นต้นมา ประมาณการผิดมาโดยตลอด โดยจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการทุกปี ซึ่งการประมาณการรายได้ที่ผิดพลาดนี้ส่งผลต่อการจัดงบฯ

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า การจัดงบประมาณรายจ่ายเพื่อการลงทุนปีนี้เพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้วจำนวนกว่าแสนล้านบาท โดยไปอยู่ที่ 1.งบกลางเพื่อแก้ปัญหาโควิด เพิ่มขึ้น 4 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ซ้ำซ้อนกับพ.ร.ก.เงินกู้ แต่อย่างไรก็ตามงบฯจำนวน 4 หมื่นกว่าล้านดังกล่าวไม่เพิ่มผลิตภาพวึ่งทำให้เก็บภาษีไม่ได้ 2.สำนักบริหารหนี้สาธารณะกระทรวงการคลัง ที่เพิ่มขึ้น 2.1 หมื่นล้านเศษ ซึ่งใช้เพื่อการชัดระหนี้โดยเงินส่วนนี้ที่โป่งออกมาก็ไม่มีภาษี ไม่ก่อให้เกิดการผลิต 3.กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท และกระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยงบฯที่เพิ่มขึ้นในส่วนของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทยเป็นเรื่องของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบเก่าๆ ช่วยตอบนิดหนึ่งว่า ไปตอบโจทย์โลกหลังโควิดบ้างไหม แต่เรื่องของสุขภาพ และความสะอาดที่มีโอกาสสร้างเงิน สร้างงานในอนาตให้ประเทศหายไปไหน การจัดสรรงบฯปี 64 ของรัฐบาล ไม่ได้ตอบสนองเศรษฐกิจหลังโควิด นอกจากนี้ ห่วงใยสถานะการคลังของรัฐบาลที่มีความเปราะบาง และสุ่มเสี่ยงที่จะล้มละลาย โดยหนี้สาธารณะสูงถึง 6.98 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้ที่รัฐบาลกู้โดตรงสิ้งสุดวันที่ 31 มกราคม 63 จำนวน 5.68 ล้านบาท เป็นการก่อหนี้โดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณตั้งแต่ปี 58 รวม 6 ปี กู้เงินรวม 2.168 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13.5 ของ GDP เท่ากับว่า นายกฯ 28 คนก่อนกหน้านี้ สร้างหนี้เฉลี่ยคนละ 125,000 บาท ส่วน พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวสร้างหนี้ไว้มากกว่าคนอื่น 18 เท่า ดังนั้น ฉายานักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้มาเพราะโชคช่วย อย่างไรก็ตาม หากท่านต้องกู้เงินมาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จะรวมประมาณ 2.791 ล้านล้านบาท ต้องใช้เวลาชำระคืน 64 ปี แต่ถ้าเอาเงินกู้จำนวน 1 ล้านล้านบาท เข้ามารวมด้วย และรวมหนี้ที่ต้องกู้ในงบฯ ปี 2565 จะต้องใช้เวลาชำระคืนทั้งสิ้นกว่า 100 ปี เหนื่อย ส่วนการขยายพ.ร.ก.เฉินออกไป นายกฯทราบหรือไม่ว่า กำลังสร้างอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ นายกฯ เป็นผู้นำของประเทศไทยอย่างแท้จริง ท่านได้ทำให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้เห็น และได้รับฉายา บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำแห่งการก่อหนี้

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ ตามการคาดการของธนาคารแห่งประเทศไทยปี 64 รายได้จากการท่องเที่ยวของเราจะลดลงจำนวนมาก และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะลดลง เครื่องยนต์ของประเทศไทยทั้ง 4 เครื่องติดลบหมด แต่ส่วนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น คือ การใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งมาจากการกู้ยืมเงินทั้งสิ้น ถ้ากู้เงินเกินกรอบเพดาน คือ ร้อยละ 60 ของ GDP จะทำให้รัฐบาลกู้ยืมเงินเพื่อมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้อีกต่อไป สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจึงมีความน่าเป็นห่วงในทุกมิติ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดขณะนี้คือประชาชนขาดกำลังซื้อ ไม่มีรายได้ แต่มีหนี้สูง รัฐบาลจะสร้างกำลังซื้อให้กับประชาชนเพื่อสร้างการบริโภคภายในได้อย่างไร และการเยียวยาจะจบลงในเดือนมิถุนายนนี้แล้ว จะเป็นปัจจัยทำให้สถานการณณ์ของประเทศหนักขึ้นไปอีก คนตกงานจะเพิ่มขึ้นอีก 7-10 ล้านคน นายกฯได้เตรียมการอะไรไว้หรือไม่ การขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่เกิดประโยชน์เลย ทั้งนี้ พรรคพท. ได้ตรวจสอบเชิงลึกลงไปในกฎหมายงบประมาณฉบับนี้แล้วพบว่า ในเนื้อหาตนฟันธงได้เลยว่า ท่านจัดทำงบฯไว้ก่อนวิกฤตโควิด และมีความจงใจที่จะไม่ปรับปรุงให้สอดคล้องกับการใช้จ่ายงบฯหลังโควิด การจัดทำงบฯแบบนี้มีลักษณะเหมือนการฮั้วประมูล เพราะทำกันมาตั้งแต่ชั้นร่างงบประมาณ ซึ่งในรายละเอียด พบว่าส่อไปในทางทุจริต มีการล็อกสเปกเอื้อประโยชน์พวกพ้อง และกลุ่มทุน เหมือนกับรัฐบาลกลายเป็น พ่อค้าหาบเร่ เร่ขายงบประมาณให้กับกลุ่มทุน ตนเห็นว่าไม่มีความเหมาะสม เพราะสัดส่วนของงบประมาณและจัดสรรงบประมาณไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของประเทศ สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอันจะทำให้การใช้เงินสูญเปล่าเป็นภาระแก่งบประมาณ ซึ่งส.ส.ของพรรคพท.จะแสดงข้อมูลและหลักฐานให้เห็นเพื่อยืนยันถึงข้อกังวลดังกล่าว ส่วนตัวตนจึงไม่เห็นด้วยกับหลักการของร่างพ.ร.บ.งบฯ ดังกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image