อย่างน้อยมีความแจ่มชัด 3 ความแจ่มชัดอันสะท้อนให้เห็นถึงการขับเคลื่อนของการปรับครม.
1 การลาออกของ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล
1 การลาออกของ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ
การลาออกของ 2 คนนี้เมื่อประสานเข้ากับการลาออกของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์
ผลก็คือ มี 6 รัฐมนตรีไม่อยู่ในครม. มีตำแหน่ง 7 ตำแหน่งในครม.ที่ว่างลง
ขณะเดียวกัน การลาออกของ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล จากตำ แหน่งหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย การพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ นายอุตตม สาวนายน ยังไม่แจ่มชัด
เนื่องจากยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ฉับพลันทันใดที่มีการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีนั่นคือความแจ่มชัด
เป็นความแจ่มชัดที่จะต้องมีการปรับครม.อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน มีความเป็นไปได้ว่าไม่ว่าการลาออกในชุดของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่ว่าการลาออกของ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล ไม่ว่าการลาออกของ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ
เป็นการลาออกโดยได้รับ”สัญญาณ”อย่างแจ่มชัดจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ทั้งเป็นสัญญาณที่ว่าสมควรจะลาออกเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจัดหาบุคคลใหม่เข้ามาแทน ทั้งเป็นสัญญาณจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าได้บุคคลใหม่มาแล้ว
ภายในกระบวนการลาออกทั้งหมดนี้ดำเนินไปในลักษณะร่วม ที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ การยืนยันจากทุกพรรคทุกฝ่ายที่ว่าทุกอย่าง ล้วนอยู่ในการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน ในอีกด้านโดยมติของพรรคพลังประชารัฐ โดยมติของพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็ได้กำหนดตัวบุคคลแจ่มชัด
คำถามก็คือรายชื่อรัฐมนตรี”ใหม่”จะเป็นอย่างไร
ในเมื่อรายชื่อรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานจากพรรคพลังประชารัฐไม่ตรงกับรายชื่อที่หลุดออกมาจากทำเนียบรัฐบาลก่อนหน้านี้
เช่นเดียวกับรายชื่อรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน
ขณะที่รายชื่อจากพรรครวมพลังประชาชาติไทยเป็นอย่างหนึ่ง รายชื่อจากพรรคพลังประชารัฐเป็นอีกรายชื่อหนึ่ง
ตรงนี้แหละคือจุดที่จะสำแดงอำนาจของ”นายกรัฐมนตรี”
นั่นก็คือจะเป็นอย่างของพรรครวมพลังประชาชาติไทยหรือจะเป็นอย่างของพรรคพลังประชารัฐ
