การสร้างชาติที่ชาญฉลาด ของประเทศโมนาโก : โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

ประเทศโมนาโกมีขนาดจิ๋วเป็นอันดับ 2 ของโลก (ประเทศที่เล็กที่สุดในโลกคือ นครรัฐวาติกันที่มีเนื้อที่แค่ 0.44 ตารางกิโลเมตร) มีขนาดพื้นที่เพียง 2.1 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่ากรุงเทพฯประมาณ 1,000 เท่า คือเล็กขนาดที่ว่าคนสามัญธรรมดาสามารถวิ่งรอบประเทศได้เลยในวันเดียว ความจริงแล้วประเทศโมนาโกมีเนื้อที่ไม่ถึง 2 ตารางกิโลเมตรแต่ใน พ.ศ.2558 ได้มีการขยายดินแดนด้วยการถมหินและระบายน้ำทะเลออกด้วยงบประมาณถึง 1 พันล้านยูโร จึงมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนที่พักอาศัยโดยสร้างอพาร์ตเมนต์ สวนสาธารณะ ร้านค้าและสำนักงานขึ้นในพื้นที่ใหม่ โมนาโกมีประชากรประมาณ 38,682 คน แต่ด้วยขนาดประเทศที่เล็กมากทำให้กลายเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในโลก
ภูมิประเทศของโมนาโกมีติดหาดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งเมืองและสภาพอากาศของโมนาโกแทบจะไม่มีหน้าฝน ฤดูหลักๆ คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวทำให้เหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกย้ายมาใช้ชีวิตหรือเปิดบริษัทที่นี่เพราะประเทศโมนาโกมีภาษีธุรกิจที่ต่ำโดยไม่มีการจัดเก็บภาษีรายได้และภาษีมรดก เศรษฐกิจของโมนาโกรุ่งเรืองอย่างมากนับตั้งแต่เปิดบ่อนกาสิโนแห่งแรกในมงเต-การ์โล และมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมกับกรุงปารีส ด้วยแหล่งบันเทิงสำหรับนักพนันได้ถึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยว สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ นอกจากนี้ ประเทศโมนาโกได้กลายเป็นศูนย์กลางด้านธนาคารเพราะมีภาษีธุรกิจที่ต่ำมากและหันมาเน้นการดำเนินเศรษฐกิจภาคบริการและอุตสาหกรรมขนาดเล็กไม่สร้างมลภาวะ และมีมูลค่าเพิ่มสูงเช่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการกีฬา ยังเป็นสถานที่จัดแข่งขันรถสูตรหนึ่งแห่งแรก เป็นบ้านเกิดของทีม สกูเดเรียแฟร์รารี

ประเทศโมนาโกเรียกกันเป็นทางการว่า Principality of Monaco หมายความว่าเป็นดินแดนที่เจ้าระดับเจ้าชายปกครอง ก็เหมือนกับ Dukedom หรือ Kingdom นั่นแหละครับ คือดินแดนที่เจ้าระดับดยุก หรือกษัตริย์ปกครอง สำหรับ Empire ก็เป็นเจ้าระดับจักรพรรดิปกครอง ในทวีปยุโรปสมัยก่อนนั้นการจัดระดับดินแดนดังกล่าวนั้นออกจะมีความหมายจริงๆ คือ Dukedom และ Principality นั้นจะอยู่ใต้อำนาจของ Kingdom ส่วน Empire นั้นตามทฤษฎีแล้วใหญ่กว่า Kingdom แต่ในความจริงแล้วพวกกษัตริย์ นี่จะเป็นผู้เลือกจักรพรรดิซึ่งก็เลือกกันเองจากบรรดาพระมหากษัตริย์ด้วยกันเองนี่แหละ จักรวรรดิที่เรารู้จักกันดีก็คือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (คนละจักรวรรดิกับจักรวรรดิโรมันที่มีมาก่อนหน้านี้นับพันปี)

ดังนั้นประเทศโมนาโกนี่ก็อยู่ใต้อำนาจของประเทศฝรั่งเศสแบบว่าจะตั้งให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องให้ฝรั่งเศสเห็นชอบเสียก่อนและมีข้อตกลงว่าถ้าเจ้าชายผู้ครองรัฐไม่มีลูกชายสืบเชื้อสายแล้วประเทศโมนาโกนี้ต้องถูกยุบรวมกับประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเจ้าชายแรนีเยร์ที่ 3 เองยังต้องขวนขวายไปแต่งงานกับดาราภาพยนตร์ตุ๊กตาทองของฮอลลีวู๊ดชาวอเมริกันเพื่อจะต้องการให้มีลูกชายนี่แหละ

ราชวงศ์ที่ปกครองโมนาโกนี้ มีเกณฑ์สำคัญของบรรดาพวกเจ้าคือ ความยาวนานของการสืบประวัติได้หลายร้อยปี (คนธรรมดาทั่วไปหากถามถึงแค่ปู่หรือตาก็ไม่รู้แล้ว ไม่ต้องไล่ขึ้นไปถึง 7 ชั่วโคตรหรอก) คือจักรพรรดิออตโตที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้มอบดินแดนโมนาโกที่เป็นชายฝั่งทะเลปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นนี้ให้กับตระกูลกริมาลดีโดยมีเจ้าชายแรนีเยร์ที่ 1 เป็นผู้ครองโมนาโกเป็นคนแรก เมื่อ พ.ศ.1847 (ตรงกับสมัยพระเจ้ารามราชาธิราช แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น)

Advertisement

เมื่อเกิดมีการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส พ.ศ.2332 (เรื่องการปฏิวัติของฝรั่งเศสนี่ต้องเน้นนะครับว่าครั้งไหน เพราะคนฝรั่งเศสบางทีเบื่อขึ้นมาก็ปฏิวัติกันเสียทีหนึ่ง) ก็ไล่พวกราชวงศ์กริมาลดีออกไปจากโมนาโกเสียเลยใน พ.ศ.2335 ทำเอาพวกกริมาลดีเร่ร่อนเป็นเจ้าไม่มีศาลอยู่หลายปีกว่าจะได้กลับมาครองโมนาโกใหม่ใน พ.ศ.2404 (สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ในฐานะรัฐอารักขาของฝรั่งเศส จึงเคยมีเงื่อนไขดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั่นเอง

เจ้าชายแรนีเยร์ที่ 3 ผู้ครองโมนาโกตั้งแต่ พ.ศ.2492-2548 ได้วางรากฐานความเจริญทางเศรษฐกิจของโมนาโกไว้เป็นอย่างดี ซึ่งตั้งอยู่บนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การพนัน อุตสาหกรรมการบริการนานาชนิดที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อมลภาวะ เนื่องจากโมนาโกไม่มีเกษตรกรรมเลย เจ้าชายแรนีเยร์ที่ 3 ผู้นี้เองได้ดำเนินกุศโลบายทางการทูตและการเมืองที่ชาญฉลาดด้วยการพยายามที่จะนำประเทศโมนาโกเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติได้เมื่อ พ.ศ.2536 โดยอาศัยช่วงชุลมุนเมื่อประเทศสหภาพโซเวียตล่มสลายทำให้เกิดประเทศใหม่ขึ้นมามากมายนับสิบประเทศสมัครเข้าเป็นสมาชิกในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ฝรั่งเศสหมดสิทธิที่อ้างตนเป็นรัฐที่ให้การอารักขาแก่โมนาโก เพราะเมื่อโมนาโกได้เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติแล้วก็ต้องถือว่าโมนาโกมีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์ เจ้าชายแรนีเยร์ที่ 3 จึงจัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีการสืบราชสันตติวงศ์ทางสายสตรีได้ ซึ่งแต่เดิมจำกัดไว้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ต้องมีการยุบรวมประเทศเข้ากับฝรั่งเศส ซึ่งก็พอดีเจ้าชายอาลแบร์ลูกชายเพียงคนเดียวที่จะขึ้นครองราชย์แทนนั้นก็มีอายุ 47 ปีแล้วซึ่งยังครองความเป็นโสดอยู่ และยังไม่มีทีท่าว่าจะแต่งงานกับใครเลย เพราะเจ้าชายแรนีเยร์มีลูกสาวอีก 2 คนนั่นเอง

แต่ในปัจจุบันเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 ได้แต่งงานกับอดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติชาวแอฟริกาใต้และมีลูกแฝดหญิงชายคราวเดียวกันใน พ.ศ.2557

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image