ชี้ทางออกรัฐบาล แก้ปัญหา 2 ม็อบเผชิญหน้า

ชี้ทางออกรัฐบาล แก้ปัญหา 2 ม็อบเผชิญหน้า

ชี้ทางออกรัฐบาล แก้ปัญหา 2 ม็อบเผชิญหน้า

หมายเหตุความเห็นและข้อเสนอแนะทางออกจากฝ่ายต่างๆ กรณีการออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมขับไล่รัฐบาลของกลุ่มนักศึกษาและเยาวชนทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มอาชีวะเตรียมออกมาชุมนุมปกป้องรัฐบาลในขณะนี้

ตระการ คุณาวุฒิ
ประธานกลุ่มแสงตะวัน (เอ็นจีโอ) จังหวัดพิจิตร

กรณีที่มีกลุ่มนิสิต-นักศึกษาออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเรียกร้องขอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีกลุ่มอาชีวะออกมาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ถนนราชดำเนิน ในฐานะภาคเอกชน รู้สึกเป็นห่วงนักศึกษาและอาชีวะ ทั้ง 2 ฝ่าย

Advertisement

ไม่อยากให้มีความขัดแย้งขั้นรุนแรง หากนักศึกษา-อาชีวะ 2 กลุ่มนี้มาเผชิญหน้ากัน เกรงว่าจะมีปัญหากระทบกระทั่งกัน หรือมีกลุ่มมือที่ 3 สร้างสถานการณ์ จนเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรงขึ้น เกรงว่าประวัติจะซ้ำรอยจนนองเลือดเหมือนอดีตที่ผ่านมา

อยากให้นักศึกษาที่ออกมาต้าน พล.อ.ประยุทธ์ เรียกร้องกันในข้อกฎหมาย ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องสนับสนุนให้ถูกต้องและต้องอยู่อย่างสงบ มีทั้งเหตุและผล หากเป็นไปได้ มีการชุมนุมกันเกิดขึ้น ก็ขอให้อยู่กันคนละที่ จะได้ไม่มีปัญหา

หัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ
ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา

Advertisement

เรื่องนี้ตนเองมองว่ากลุ่มเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหว ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป เพราะเริ่มมีการขยายวงกว้างไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศไทยแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าม็อบครั้งนี้ยังจุดไม่ติด แต่ในใจน้องๆ นักศึกษาเองน่าจะจุดติดแล้ว ถือว่าเป็นการออกมาแสดงความคิดเห็นได้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลเองก็ต้องออกมาดูแลและรับฟังเสียงของพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน อย่าไปดูถูกพลังของกลุ่มเยาวชนว่าเป็นเรื่องเล็ก และให้นักการเมืองบางคนมาพูดเหน็บแนมว่าเป็นม็อบมุ้งมิ้ง ม็อบจัดตั้ง เพราะยิ่งจะสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงได้

ส่วนข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ให้ยุบสภา 2.หยุดคุกคามประชาชน และ 3.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น เชื่อว่ารัฐบาลรับไม่ได้แน่นอน แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ รัฐบาลต้องรีบส่งทีมงานเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มเยาวชน เพื่อต่อรองว่าหากข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อทำไม่ได้ แล้วจะมีอะไรบ้างที่จะร่วมกันหาทางออก เพราะถ้าไม่รีบเข้ามาพูดคุยกันตั้งแต่ตอนนี้ ตนเชื่อว่าม็อบจะมีแนวร่วมเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน

เนื่องจากขณะนี้หลายคนก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจในการบริหารประเทศของรัฐบาล รวมทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ และสังคม กำลังเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ก็ยิ่งทำให้คนมีอารมณ์ร่วมกับม็อบไล่รัฐบาลได้ง่ายขึ้น

จริงอยู่ในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลได้ความชอบธรรมมาจากเสียงสนับสนุนของ ส.ส.ที่มาจากคะแนนเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องเคารพสิทธิความเห็นต่างของเสียงส่วนน้อยด้วย เสียงจากเยาวชนกลุ่มนี้ก็มีเหตุมีผลมาจากปัญหาบางอย่าง ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องมาพูดคุยกันถึงปัญหาเหล่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดม็อบขยายตัวไปเรื่อยๆ เช่นนี้ เพราะในส่วนของนักธุรกิจ นักลงทุน เมื่อเห็นสถานการณ์ม็อบเกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคเช่นนี้ เขาย่อมไม่กล้าลงทุน

แม้ว่ารัฐบาลจะไปขอร้องให้ช่วยกันลงทุน แต่จะเอาอะไรมารับประกันให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ ใครจะกล้านำเงินมหาศาลไปลงทุน ขณะเดียวกันตนเองก็ฝากถึงกลุ่มเยาวชนปลดแอกด้วยว่า ข้อเรียกร้องบางอย่างรัฐบาลทำไม่ได้ แล้วอะไรจะพอเจรจาพูดคุยกันได้บ้าง เพราะการยุบสภา และให้นายกรัฐมนตรีลาออกในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ อาจจะทำให้เกิดช่องว่างในการบริหารประเทศ และเกิดความเสียหายต่อประเทศได้ไม่น้อยเหมือนกัน ดังนั้นเราต้องมาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลจึงจะเหมาะสมกว่า

เกรียงไกร เธียรนุกุล
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

ตอนนี้สถานการณ์โควิด-19 ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังไม่หมดไปจากไทยแม้ควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้ประเทศไทยยังมีความเสี่ยง ปัจจุบันคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังจะเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ ปัจจุบันยังไม่รู้ว่าเป็นใคร การลุ้นครั้งนี้ถือเป็นความเสี่ยง ถ้ารายชื่อออกแล้วทุกฝ่ายยอมรับได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีหากได้ทีมดี อย่างน้อยความเสี่ยงนี้จะลดลง และหากโครงสร้างการทำงานสามารถประสานกับทุกฝ่าย ทุกกระทรวงเศรษฐกิจได้ ก็เป็นเรื่องดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่งหากตัวบุคคลได้รับการยอมรับ แต่หากไม่สามารถประสานการทำงานได้ ก็เป็นเรื่องน่าห่วงเช่นกัน เพราะจะเป็นความเสี่ยงของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่ต้องดูว่าจะสามารถทำงานออกมาได้ราบรื่นหรือไม่

ล่าสุดสถานการณ์ในประเทศกำลังมีอีกความเสี่ยง มาจากการจัดแฟลชม็อบของเด็กๆ ที่ลามไปทั่วประเทศ และมีความถี่ จนเริ่มเกรงว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นความตึงเครียด ไม่ส่งเสริมทางบวกมากนัก ประกอบกับปัจจุบันมีข่าวใหญ่บางข่าวกำลังเป็นข่าวพาดหัว มีการพูดถึงเยอะ หากไม่ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นที่ยอมรับ อาจเป็นชนวนทำให้เกิดความไม่พอใจในระบบ กลายเป็นความบั่นทอนในระบบ ทั้งที่เวลานี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะทุกฝ่ายควรร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 เพราะโรคนี้ต้องใช้เวลาอีกนาน 1-2 ปีทีเดียวในการจัดการควบคุม มีวัคซีนป้องกัน

กรณีเกิดแฟลชม็อบ ความเห็นส่วนตัวคงไม่ใช่ความกังวล แต่อยากให้เดินไปอย่างถูกต้องและคลี่คลาย เพราะในความเป็นจริงสิ่งที่สำคัญกว่าคือ ระบบโครงสร้างต่างๆ ต้องเดินไปอย่างถูกต้อง ทั้งระบบโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และกระบวนการยุติธรรม เพราะถ้าไม่บาลานซ์อาจเป็นการซ้ำเติม เป็นแรงกระตุ้นให้เด็กๆ ออกมารวมตัวกันมากขึ้น และดูเพิ่มระดับการชุมนุมด้วย เรื่องนี้น่าห่วง รัฐบาลต้องดูแล ทำให้โครงสร้างต่างๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ปัจจุบันการบริหารเศรษฐกิจค่อนข้างสุญญากาศ เป็นอาการเกียร์ว่าง ระบบราชการที่รอนายใหม่ที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าจะเดินหน้านโยบายที่ทำอยู่หรือไม่ ขณะเดียวกันภาคเอกชนก็รอดูทิศทางนโยบายการทำงานจากรัฐบาลเช่นกัน อาทิ ความคืบหน้าเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะยังคงเดินหน้าหรือไม่ โครงการอื่นๆ จะเดินหน้าหรือไม่ เป็นคำถามจากภาคเอกชน โดยเฉพาะเอกชนต่างประเทศ นอกจากนี้ภาคเอกชนยังต้องการให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูประเทศผ่านกลไกวงเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 400,000 ล้านบาท อยากให้เร่งอนุมัติโครงการจำเป็นเร่งด่วน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มการจ้างงานชุมชน ช่วยให้ประชาชนมีรายได้ เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพิ่มให้เงินในระบบมีการหมุนเวียน

นอกจากนี้ในการดูแลผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตอนนี้กำลังแย่ เป็นความเสี่ยงสำคัญ เพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจ การจ้างงาน อยากให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือโดยด่วน เพราะหากปล่อยไว้ในสถานการณ์เช่นนี้อาจเห็นการเลิกกิจการเพิ่มขึ้นอีก จากที่ผ่านมากิจการที่เลิกจ้างส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มกิจการภาคบริการ และการท่องเที่ยว ที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือผ่านสินเชื่อซอฟต์โลนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วงเงิน 5 แสนล้านบาท แต่เอสเอ็มอีส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงสินเชื่อดังกล่าว จึงเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลจะต้องหาเครื่องมือเข้ามาช่วยเหลือ อย่างแนวทางการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอีแยกออกมาต่างหากก็จำเป็น ซึ่งเวลานี้ต้องรอให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะใช้แนวทางใด ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน

ทั้งนี้ อยากให้ทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันเป็นความท้าทาย ดังนั้นอยากให้รัฐบาลเร่งทำ 3 โครงสร้างสำคัญ คือ เศรษฐกิจ สังคม และกระบวนการยุติธรรม เดินไปอย่างถูกต้องชัดเจน ไม่ใช่ดูแลแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้สถานการณ์ของประเทศเดินไปอย่างราบรื่น

เทพไท เสนพงศ์
ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

การชุมนุมของกลุ่มนิสิต นักศึกษาขณะนี้กำลังต่อเนื่อง ขยายจุดไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ภาษาการเมืองเรียกว่าม็อบจุดติดแล้ว และมีความพยายามหาจุดอ่อนของการชุมนุมของนักศึกษา เพื่อดิสเครดิตทำลายความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะประเด็นการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ทุกครั้งที่มีการชุมนุมของนักศึกษามักมีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น นับตั้งแต่ 6 ตุลา 19 มีความพยายามป้ายสีว่านักศึกษาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง วันนี้เมื่อขบวนการนักศึกษาคืนชีพมาเคลื่อนไหวทางการเมืองก็มีความพยายามหยิบยกเรื่องนี้มาทำลายความน่าเชื่อถือ เห็นได้ชัดว่าขณะนี้มีการจัดตั้งกลุ่มนักศึกษาอาชีวะช่วยชาติรวมพลังปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะอดีต 6 ตุลา 19 ก็ใช้วิธีแบบนี้จัดตั้งม็อบชนม็อบ

เป็นเรื่องที่น่าวิตกสำหรับการใช้วิธีการทางการเมืองแบบงัดเอาวิชามารขึ้นมา ใช้แบบเกลือจิ้มเกลือ และจัดตั้งกลุ่มนักศึกษาให้มาปะทะกัน สุดท้ายนำไปสู่ความขัดแย้งที่คนไทยต้องฆ่ากันตาย ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอย จึงอยากเรียกร้องให้แกนนำนักศึกษาแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่สนับสนุนบุคคลจาบจ้วงสถาบันเข้ามาในม็อบการชุมนุม และไม่ฉวยโอกาสเรื่องนี้สร้างสถานการณ์โดยเฉพาะมือที่สาม พร้อมทั้งเรียกร้องกลุ่มผู้มีอำนาจที่มีความคิดจัดตั้งกลุ่มต่อต้านนักศึกษาขึ้นมา เพื่อนำไปสู่สถานการณ์ที่ขัดแย้งเป็นการสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเพื่อปฏิวัติยึดอำนาจซ้อนอีกครั้ง

ขอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน แก้ปัญหาร่วมกัน ปลดล็อกเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง และยึดโยงประชาชน ไม่เช่นนั้นถ้าทุกคนถือทิฐิถือดีกัน บ้านเมืองก็จะขัดแย้งไม่สิ้นสุด และบ้านเมืองจะพังเสียหายยับเยิน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image