“สุวัจน์”ชูข้อดี “บิ๊กตู่”นั่งหน.ทีมเศรษฐกิจ -ชี้คนไทยฝากความหวัง

“สุวัจน์”ชูข้อดี “บิ๊กตู่”นั่งหน.ทีมเศรษฐกิจ -ชี้คนไทยฝากความหวัง

“สุวัจน์”ชี้ข้อดี “บิ๊กตู่”นั่งหน.ทีมเศรษฐกิจ  เชื่อคนไทยฝากความหวังนำชาติรอด แต่ไม่กล้าฟันธงอยู่สั้นหรือยาว เปรียบอุบัติเหตุยางแตก

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ให้สัมภาษณ์ ในหัวข้อเศรษฐกิจและการเมืองวันก่อน ว่า ปัญหาของประเทศวันนี้ ต้องมีมืออาชีพมาแก้ไข เนื่องจากประชาชนฝากความหวัง วันนี้จะหามืออาชีพที่ไหน มืออาชีพคือ คนที่เก่งเรื่องเศรษฐกิจรู้ว่าจะต้องจี้ที่จุดไหน แก้ปัญหาที่จุดไหน และตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยประเทศ ซึ่งตอนนี้ถือว่าหายากจริง ๆ แต่พอหาได้

เพียงแต่ว่าสภาพการเมืองตอนนี้ไม่ค่อย เวลคัม เพราะทุกคนจะรู้สึกว่าก็อยากจะช่วยประเทศ แต่ทุกคนที่เข้ามาแล้วรู้สึกว่าเปลืองตัว แค่ประกาศเปิดตัวเป็นนักการเมืองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์แล้ว พอมาเป็น การเมืองก็โดนตรวจสอบ ถูกกล่าวหานั้นนี้ เรียกว่า รอยขีดข่วนเต็มตัวไปหมด ทุกคนก็จะมีความรู้สึก

ถ้าคิดว่าทานอิ่ม แล้วอยู่เฉยๆ อย่าหาเรื่องใส่ตัว วันนี้มันไม่ได้ ทุกคนต้องเสียสละ เพราะบ้านเมืองมีวิกฤต ถ้าเราเป็นคนเก่ง มีความสามารถเคยทำงาน World Bank จบจากเมืองนอก เคยอยู่องค์กรระหว่างประเทศเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้คนไทยกว่า 60 ล้านคน กิจการอีกสิบๆ ล้านแห่ง คนงานอีก 6 – 7 ล้านคน กำลังจะตกงาน

Advertisement

วันนี้ จึงต้องเสียสละกัน เสียสละที่จะมาเป็น และเสียสละที่จะไม่เป็น พรรคชาติพัฒนาเสียสละที่จะไม่เป็น เพราะว่าเวลามีการปรับรัฐมนตรี ทุกคนที่เข้ามาเล่นการเมืองก็อยากจะก้าวหน้าเป็น ส.ส. มาหลายสมัยก็อยากทำงานให้พี่น้องประชาชน เป็นเกียรติด้วย

เมื่อมาเป็น ส.ส. ก็ใฝ่ฝันว่าสักวันก็เป็นรัฐมนตรี และก็มีวัฒนธรรมทางการเมือง คุณเป็นแล้วหลายสมัย คุณก็จะได้เลื่อนชั้น ทุกคนก็อยากจะเป็นแต่ตำแหน่งมีน้อย

ในรัฐธรรมนูญ รัฐมนตรี มีได้ไม่เกิน 36 คน แต่ ส.ส. มีได้ถึง 500 คน ดังนั้น เวลาเลือกตั้งมาแล้วจัดรัฐบาล หรือปรับ ครม. ก็จะมีปัญหาเรื่องเก้าอี้ไม่พอ ฉะนั้น ก็มีการแย่งกันไปแย่งกันมา ทุกคนก็อยากได้มีโอกาส
ไม่ลงตัวก็เกิดแรงกระเพื่อม ทำให้เกิดรอยร้าว เกิดความไม่ลงตัว กระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล พรรคชาติพัฒนามองว่าเสียสละ 1 เก้าอี้ ที่มีให้นายกฯไปเลย นายกฯ จะไปเชิญคนนอก มีความรู้ ความสามารถ มาเป็นก็ได้ หรือจะเอามาจัดสรร ในระหว่างนักการเมือง เพื่อให้เกิดความลงตัว และไม่กระเพื่อม ไม่มีความแตกแยก อย่างน้อย ก็จะได้เสถียรภาพของการเมืองที่มั่นคง นี้คือ เสียสละที่จะไม่เป็น

Advertisement

วันนี้ การเสียสละที่จะเป็นสำคัญกว่าการเสียสละที่จะไม่เป็น เพราะวันนี้เราต้องอิมพอร์ต คนนอกที่เก่งๆ เข้าสู่ระบบการเมือง อย่างวันนี้เรารู้ว่าจะต้องประครองตัว ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในช่วงนี้ แล้วเข้าสู่ นิว นอร์มอล ต้องการมือฉมัง มือเซียน เราก็พูดว่าดรีมทีมเศรษฐกิจ พอพูดถึงการเมือง ไม่มีคน อยากเข้า วันนี้ยังไม่แน่ใจ เพราะยังไม่ได้ประกาศรายชื่อ นายกรัฐมนตรี สามารถที่จะพูดคุย จากที่ให้สัมภาษณ์ได้ชวนคนหลายคนแล้วเข้ามา แต่เขาปฏิเสธ ฉะนั้น นายกฯ มีความตั้งใจว่า อยากได้คนดีๆ เข้ามาช่วย

นักการเมืองบอกเสียสละเพื่อชาติ ทำให้เกิดดรีมทีมเศรษฐกิจที่จะมาแก้ปัญหาไม่ได้เพราะมาจากต่างพรรค
พี่น้องประชาชนตัดสินมาแล้ว พรรคนี้ได้กี่เสียงๆ พอมาจัดรัฐบาลเริ่มต้นต้องมาคำนวณว่าได้มาเกินครึ่งหนึ่ง ปรากฏว่ามาเที่ยวนี้จัดกันมาแทบเป็นแทบตายหลายเดือน เกินครึ่งมาแค่ 4 เสียง รัฐบาลมี 254 เสียง ครึ่งหนึ่งก็ 250 จาก ส.ส. 500 นั้นเป็นการจัดรัฐบาลที่ยากลำบาก

รัฐบาลก็ต้องพึ่งเสียงหลายๆ พรรค ดังนั้น ก็ต้องกระจายกระทรวงที่สำคัญ ให้แต่ละพรรคได้รับผิดชอบตามสัดส่วนกัน มันก็เลยเป็นความยากลำบาก สมมุติ เรามองกระทรวงเศรษฐกิจมีอะไรบ้างก็จะมีกระทรวงการคลัง คือ ซีเอฟโอ ของประเทศ กระทรวงพาณิชย์ส่งออก กระทรวงพลังงานกับกระทรวงคมนาคม เป็นกระทรวงเศรษฐกิจด้านโลจิสติกส์

แต่ที่เป็นกระทรวงเศรษฐกิจจริง ๆ กระทรวงการคลัง นี้เป็นเศรษฐกิจจริง ๆ พาณิชย์ เป็นคนไปขาย การส่งออก อันนี้เป็นเศรษฐกิจจริง ๆ อย่างกระทรวงท่องเที่ยว เป็นเศรษฐกิจจริง ๆ กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องเอาคนมาลงทุนสร้างโรงงาน เป็นเศรษฐกิจจริง ๆ เวลามีการจัดรัฐบาล กระทรวงต่าง ๆ เหล่านี้ จะถูกจัดสรรอยู่ตามพรรคนั้นพรรคนี้ ทำให้เหมือนเอกภาพของการทำงานร่วมกัน ไม่กระชับเหมือนว่ากระทรวงเศรษฐกิจอยู่ภายใต้พรรคการเมืองพรรคเดียว ในอดีต เคยมีการเลือกตั้งแล้วพรรคการเมืองได้เกินครึ่งพรรคเดียว อย่างนั้น จัดรัฐบาลง่าย เพราะกระทรวงเศรษฐกิจก็อยู่ภายใต้พรรคการเมืองหลัก

ดังนั้น โครงสร้าง ครม.วันนั้น กับปัญหาของประเทศวันนี้ เทียบกันไม่ได้เลย นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ หลังจากเกิดโควิดรัฐบาลก็จะมีการทำงานแบบใหม่ การมีส่วนรวมของประชาชน การฟังประชาชน การไปพบประชาชน การให้ประชาชนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำงาน ปัญหาเฉพาะหน้าปัจจุบัน คือทำอย่างไร เมื่อมีการประกาศ ครม. ชุดใหม่ ครม.เศรษฐกิจ ออกมาแล้วประชาชนได้มีความเชื่อมั่น มีเสียงเฮ เรารอดแล้วเรียบร้อยแล้ว ได้คนเก่ง คนดี มาแล้ว อันนี้จะเป็นขวัญกำลังใจ ให้เรายืนอยู่ได้

เดิมที่งานด้านเศรษฐกิจ สมมุติ โครงสร้างรัฐบาล เราจะมีนายกฯ และก็มีรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการ รองนายกฯก็จะมีหลายๆ คน สมมุติ สี่ห้าคน คนนี้เป็นรองนายกฯทางเศรษฐกิจ คนนี้เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง คนนี้เป็นรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ที่ผ่านมาท่านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นมาหลายปีและอาจมีปัญหาด้านสุขภาพ หรือมีเหตุผลทางด้านอื่น ปรากฏว่า ทีมของท่านลาออกไปก็เลยเข้าใจได้ว่าต้องหาทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ประกอบกับองค์ประกอบของการทำงาน สมมุติท่านนายกฯ มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง ก็จะไม่มีรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงเศรษฐกิจก็จะขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีเลย

อันนี้ก็มีข้อดีที่ว่า อำนาจนายกรัฐมนตรี สูงสุด วันที่มีรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจคือตอนที่นายกฯ เอาอำนาจไปให้รองนายกฯ เศรษฐกิจให้ไปบริหาร ซึ่งตอนนี้นายกฯ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจ มานั่งหัวโต๊ะเอง เหมือนเป็นหัวหน้า ทีมเศรษฐกิจ เพียงแต่ว่ารัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะมาทำงาน ต่าง ๆ มาเสนอนโยบาย และไปปฏิบัติ รัฐมนตรีคนนั้นจะเป็นใคร

นายสุวัจน์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ รายการ Money Chat ที่หัวหิน ด้วยว่า จากนี้ไปมี 2 เรื่อง คือ 1.นโยบาย จะมีนโยบาย ยังไง เช่นการฟื้นตัวขณะนี้ 2.หลังฟื้นตัวแล้วประเทศไทยจะโตยังไง จะปรับทิศทางทางเศรษฐกิจยังไง สมมุติ เดิมที่เศรษฐกิจของเราพึ่งจากการท่องเที่ยว พึ่งจากการส่งออก เขาบอกเศรษฐกิจ เราพึ่งพาจากต่างประเทศ 90% เฉพาะส่งออก 75 % ของจีดีพี เรื่องการท่องเที่ยวอีก 15% ของจีพีดี เป็น 90% ไม่มีนักท่องเที่ยว หรือ ส่งออกไม่ได้ เศรษฐกิจก็แย่เลย เรายืนอยู่บนพื้นฐานของคนนอกประเทศ เราไม่ได้ยืนอยู่บนตัวตนเราเท่าไหร่ เราต้องพึ่งต่างประเทศเป็นหลัก

ดังนั้น หลังนิว นอร์มอลแล้ว เราจะปรับทิศทางโครงสร้างเศรษฐกิจยังไง เพื่อให้มีการกระจายความเสี่ยงเวลาเกิดอะไรกระทบแรงๆ เราสามารถที่จะไปทางนั้นทางนี้ได้ การจัดโครงสร้างเศรษฐกิจที่เราสามารถบริหารความเสี่ยง ในเวลาที่มีวิกฤตเศรษฐกิจ เหมือนกับค่าเงิน แทนที่เราจะถือค่าเงินสกุลเดียว เราก็ถือเงินค่าเงินหลายสกุล สามารถมาบริหารความเสี่ยงได้ อันนั้นเป็นปัญหาของเศรษฐกิจในวันข้างหน้า แต่เร็วๆ นี้ เอากันยังไง เห็นว่า 6 – 7 ล้านคนจะว่างงาน วันนี้นักท่องเที่ยว ปรากฏว่าขณะนี้เพิ่งจะมี 6-7 ล้านคน จากเคยมี 40 ล้านคน โรงแรมต่าง ๆ ยังปิด ภาคบริการยังปิด SME ก็ยังหยุดกิจการ ปลดคนงาน SME เป็นซัพพลายเชน ก็ไม่มีชิ้นส่วนไปให้อุตสาหกรรมใหญ่ นี้ก็คือ ปัญหาเฉพาะหน้า

0นโยบาย 5000 บาท พักชำระหนี้ ดูตลาดเงิน ตลาดทุน ด้วยการให้ Soft loan สามารถเยี่ยวยาได้ไหม
-ต้องดูว่าเราใช้เงินไปเท่าไหร่ สมมุติ เอา 4 แสนล้าน ไปสร้างโครงการในเรื่องโครงการพื้นฐานของชุมชน
5 แสนล้าน มาเตรียมเรื่อง Soft loan ให้กับ SME ทั้งหลาย รวมแล้วก็ประมาณ 9 แสนล้าน อีก 6 แสนล้านก็เป็นเรื่องของด้านสาธารณสุขเรื่องอะไรไป และอีก 4 แสนล้าน ก็เป็นเรื่องของไปพยุงกองทุนในตลาดหลักทรัพย์รวมทั้งหมดแล้ว 1.9 ล้านล้านบาท เอาว่าตอนนี้ที่เค้าคุย เรื่อง Soft loan ที่ไป SME ถือเป็นเรื่องที่ดี ดอกเบี้ยต่ำ 2%

แต่ว่าตอนนี้ เหมือนว่ากฎกติกา ในเรื่องของแบงก์ มันก็มีเรื่องกติกาที่ถูกควบคุมด้วย แบงก์ชาติ แล้วกฎกติกาของ SME ที่จะมาได้ Soft loan ก็มีมากอีก ปรากฏว่า SME ยังไม่ค่อยได้เลยเงินเลยเงินออกยากมาก และเรื่อง 4 แสนล้านที่ไปสร้างโครงการในชนบท ตอนนี้ก็เพิ่งออกไปไม่กี่หมื่นล้าน ฉะนั้น ถือว่าความเร็วของการแก้ไขปัญหายังไม่เพียงพอ ต้องเหยียบให้มีอัตราการเร่ง ต้องเร็วกว่านี้ เพื่อให้เงิน 9 แสนล้านนี้ เข้าไปสู่ระบบให้มากขึ้น

เม็ดเงินที่เข้าไป 9 แสนล้านมีความแรงพอไหม ปรากฏว่าพอไม่พอเราก็มีเม็ดเงินอยู่เท่านั้น ในขณะนี้ เพราะเราก็ต้องรักษาเสถียรภาพทางการคลัง บางทีเราใช้จ่ายเงินเยอะ เป็นหนี้เยอะ เขาก็มีมาตรฐานของหนี้ต่อจีดีพี ซึ่งทั่วโลกเค้าก็ใช้มาตรฐานสัดส่วนหนี้ต่อ จีดีพี ประมาณ 60% สมมุติเรามี จีดีพี ประมาณ 15 ล้านล้าน 60% ก็คือ 9 ล้านล้าน ณ วันนี้ ปรากฏว่า ใช้ไป 1.9 ล้านล้าน มาฟื้นฟูเศรษฐกิจ และบังเอิญจีดีพี เราต่ำด้วย ตอนนี้หนี้ต่อ จีดีพี ก็ประมาณ 57-58% แล้ว แสดงว่าไฟเหลืองเตือนแล้ว ถ้าเกิดเรากู้เงินมามากกว่านี้มันจะไปกระทบกับความน่าเชื่อถือของประเทศ แล้วจะเล่นยากมากขึ้น เกิดว่าเราจะปล่อยเพดานให้สูงขึ้นเพื่อให้มีเงินมาฟื้นฟู มันก็อาจจะได้แต่จะกระทบกับค่าเงิน

กระทบกับความเชื่อมั่นกับนักลงทุน อันนี้ประเทศเริ่มมีความเสี่ยงแล้วกับเครดิต เรตติ้ง ก็จะกู้ยากมากขึ้น กู้ด้วยดอกเบี้ยแพงขึ้นแล้วก็กระทบต่อตลาดทุน กระทบตลาดหุ้น กระทบภาคเอกชน มันก็เป็นห่วงโซ่กันไปหมด เหมือนเราต้องมีขีดจำกัดแล้วเราจะทำยังไง อันนี้เป็นเรื่องของเม็ดเงิน ถ้ามันไม่พอจะหาเม็ดเงินจากที่ไหนยิงเข้าไป ท่ามกลางขณะนี้ 1. เงินต้องถึงมือเร็วกว่านี้

2. เม็ดเงินมันจะต้องมากกว่านี้คือแรง และ 3. ถ้าไปถึงมือแล้ว เม็ดเงินมากกว่านี้แล้ว ต้องให้มันตรงเป้าด้วย ยิงกระสุน ยิงไปสิบนัด ยิงนัดเดียวก็ได้ขอให้ตรงเป้านั้นจะยิงยังไง ให้เข้าเป้า แล้วยิงยังไง ให้มันมีตัวทวีคูณ มี Multiplier

ยกตัวอย่างโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน ที่ใช้เงินกว่า 25,000 ล้าน ถือว่าเป็นโครงการที่ตรงเป้า เพราะภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยตรง นักท่องเที่ยว 40 ล้านมีมาเที่ยวไม่ถึง 10 ล้าน แล้ว 30 ล้านที่เหลือไทยออกมาเที่ยวกันเอง อันนี้ถือว่าตรงเป้าแล้ว สองมี Multiplier ก็ที่รัฐบาลออกมาบอกว่า ให้ 40% นะ
คุณต้องออกมาให้อีก 60% พอคุณมาเที่ยวทีนี้ SME ก็เริ่มเปิดกิจการ โรงแรมออกมาทำงาน ตลาดร้านค้า กลับมาทำงานโอท็อป ร้านค้า ร้านก๋วยเตี๋ยว ตลาด ภาคบริการออกมาทำงานหมด แสดงว่า มี Multiplier อีกหลายอาชีพเงินหมุนไหลเวียนอีกเยอะ อันนี้เป็นตัวอย่างว่าในการฟื้นฟู ถ้าเงินเราน้อย พยายามยิงให้ตรงเป้ากับยิงให้มี Multiplier อย่าให้เสียของมีตัวทวีคูณเยอะๆ ให้มันหมุนและกระจายไปทุกพื้นที และทุกอาชีพมันถึงจะฟื้นตัวกันจริง ๆ

ผมมองว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้มอง 3 ตัว 1. เรื่องอัตราความเร็ว ของการเข้าไปฟื้นตัว 2. อัตราความแรง คือเม็ดเงินต้องมากพอ 3. ตรงเป้าและก็มีตัวทวีคูณ

0มองอนาคต 5 ปี หลังโควิดจะเป็นอย่างไร
-ตอนนี้สองอย่าง คือ ยุทธศาสตร์ประคองตัวไม่ให้จมน้ำก่อน ให้กิจการกลับมา ให้คนรีบกลับมาทำงาน แก้ไขปัญหาด้วยความรวดเร็ว แก้ไขปัญหาด้วยแมกนิจูด ด้วยความรุนแรง แก้ไขตรงเป้าและ มี Multiplier แต่พอจบแล้วอยากให้เรากลับมาทบทวนตัวเราว่า

วันนี้ โลกเปลี่ยนเทคโนโลยีเปลี่ยนแล้วประเทศจะเดินหน้ากันยังไง อะไรคือจุดแข็ง อะไรคือจุดอ่อน การที่ เราจะไปแข่งขันกับคนอื่น เราต้องไม่ไปแข่งขัน บนจุดอ่อน เราต้องแข่งขันบนจุดแข็ง ตัวตนของเรา ตัวตนของประเทศไทยคืออะไร แล้วตัวตนที่ประเทศอื่นแข่งกับเราไม่ได้ เราเอาความรูปหล่อตรงนั้น มาแข่งกับเค้า เรา อย่าไปแข่งกับเค้าบนความอ่อนแอก็เหมือนกับแข่งฟุตบอลที่เล่นเกมในบ้าน หรืออะไรที่เป็นตัวความเข้มแข็งของสังคมไทยที่พิสูจน์มาแล้ว

สมมุติที่ผ่านมา เราจะไปมองเรื่องจีดีพี เป็นหลักในการพัฒนาประเทศ เอาจีพีดี มาเป็นตัววัดความสำเร็จ ของการพัฒนาประเทศ แต่ในขณะที่ประเทศยังมีความเหลื่อมล้ำ เราบอกว่าปีนี้ จีดีพี 5% ถามว่า 100 คน โต 5% เท่ากันหรือเปล่า อาจจะมีแค่ 2 คน แต่อีก 2 คนอาจจะโต 50% หรือ โต 100% แล้วเค้าก็มาดึง curve ทั้งหมด แต่ที่เหลือติดลบทั้งหมด อันนี้ก็คือความเหลื่อมล้ำ ฉะนั้น ถ้าโตไม่ถึง 5% ดีไหม คือ โตแค่ 1% แต่ 100 คน โต 1% เหมือนกันหมด เราควรจะดึงข้างล่างขึ้นมา สมมุติ จีดีพี โต 5% เรามีคน 100 คน ให้คน 100 คนได้ 5% เหมือนกันหมด ฉะนั้น จะทำยังไง เราบอกว่าเราไปให้ความสำคัญมากกับเรื่องจีดีพี คือ ผลความสำเร็จของการพัฒนาประเทศ แต่ผลการสำเร็จการพัฒนาประเทศ ก็คือว่าทำให้ทุกคนโตเท่าๆ กัน

ให้จีดีพี เราน้อยแต่ทุกคนได้ผลพวงเท่ากันยังดีกว่าเราได้ จีดีพีเยอะแต่มีความเหลื่อมล้ำ สมมุติ วันนี้จีดีพี 15 ล้านล้าน ถามว่าเป็น จีพีดีของคนไทยจริงๆ กี่ล้าน เพราะที่เหลือเป็น ของนักลงทุน ของคนต่างชาติ จีดีพีแค่เอาชิ้นส่วนจากเมืองนอกแล้วมาผลิตภายในประเทศใส่แล้วส่งออก แต่เราคำนวณเป็น จีพีพีของประเทศ ดังนั้น ใน 15 ล้านล้าน เป็น จีพีดี ของคนไทยแค่ 3 ล้านล้าน 4 ล้านล้าน

ที่มาจากน้ำมือน้ำพักน้ำแรง มาจากหัวใจของคนไทย แต่ที่เหลือเป็น ของคนต่างชาติเข้ามาอาศัยแผ่นดิน คนต่างชาติที่มาอาศัย แรงงาน คนต่างชาติเข้ามาอาศัยข้อตกลงทางการค้าที่จะได้ประโยชน์ทางภาษี แล้วเราก็พึงพอใจ จีดีพีว่าเติบโตแล้วไปอยู่กับมือคนอื่น สู้ว่า จีดีพี เราน้อยแต่เป็น จีดีพีของ

คนไทย ต้นกล้าเกิดจากแผ่นดินไทย เกิดจากฟาร์มเกษตรของคนไทย เกิดจากการท่องเที่ยวของคนไทย อย่างนี้คือ ความยั่งยืน ฐานระดับล่างมีกินมีใช้ทุกคนเติบโตเหมือนกันหมด ฉะนั้น ถ้านิว นอร์มอลแล้ว โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศอะไรคือ ความเป็นไทย

อะไรที่สามารถเป็นจีดีพีของคนไทยจริงๆ แล้วมันยั่งยืน วันนี้เห็นชัดๆ 3 อย่าง คือ 1.ภาคเกษตร คือ ความเข้มแข็งของคนไทย 2. ภาคท่องเที่ยว เป็นความเข้มแข็งของสังคมไทย 3.ความน่าอยู่ของเมืองไทย คือ เมืองไทยเป็นเมืองปลอดภัย โควิด นิว นอร์มอล ใช่ไหม โควิดกลายเป็นปัจจัยว่าจะไปไหน มาไหนกลัวโรคระบาด แต่เมืองไทยควบคุมได้ระบบสาธารณสุข หมอ โรงพยาบาลมีวินัย ใส่หน้ากาก ล้างมือ ดิสแทนซิ่ง มาเมืองไทยปลอดภัย เมืองไทยสาธารณสุขดีมาก อันนี้คือ จุดแข็งของสังคมไทย

 


จากนี้ไปคนก็จะมองเมืองไทยเป็น เมืองปลอดภัย เมืองไทยคือเซคคั่นโฮม ของโลก เมืองไทยคือเซคคั่น ออฟฟิศ ของโลก นี้คือจุดแข็ง จากวันนี้ไปวิกฤตนี้มันสร้างจุดแข็งให้สังคม ไทย สมมุติ ว่าใครๆ ก็อยากมาอยู่เมืองไทย เราจะยก เพดานเรื่องอสังหาริมทรัพย์ การตั้งสำนักงาน ที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติ ที่ซื้อได้ไม่เกิน 49% หาวิธีปรับขึ้นได้ไหม หรือคนมาซื้อเยอะขึ้นเราใช้วิธีให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ อายุที่ยาวขึ้น เราสามารถที่จะมาปรับเงื่อนไขบางอย่างเพื่อมาเสริมจุดแข็งของสังคม ไทย ให้เมืองไทยเป็นเมืองลงทุน เมืองไทยเป็น Second Office เมืองไทยเป็น Second Home คือ มาอยู่เมืองไทยแล้วมีความสุข มีความปลอดภัย คน เหล่านี้มีเงิน มีความรู้ ความสามารถ ก็จะมีการย้ายฐานการลงทุนมาที่ประเทศไทย ดังนั้น การเป็น Second Home ของโลก คือ บีโอไอที่สำคัญ จากเรื่องโควิด เราสามารถที่จะสร้างเมืองไทย การรักษาพยาบาล อยู่อย่าง ปลอดภัย การเป็น Second Home ของโลก การเป็น Second Office ของโลก เพราะเดียวนี้อยู่ที่ไหน ทำงานทางออนไลน์กันได้หมด เป็นสิ่งที่เมืองไทยได้เปรียบ อันนี้คือจุดแข็ง

2. เรื่องภาคการเกษตร วันนี้ส่งออกติดลบเกือบ 30% แต่เรื่องเดี่ยวที่ไม่ติดลบ คือ ส่งออกอาหาร อันนี้พิสูจน์ ให้เห็นว่าท่ามกลางวิกฤติเราคือ ครัวของโลก วันนี้ผลกระทบในเรื่องของจำนวนประชากรโลกมากขึ้น พื้นที่การเกษตรน้อยลงของทั่วโลกและผลกระทบทางด้านภัยธรรมชาติ แต่บ้านเราได้รับผลกระทบน้อย เมืองไทย เป็นสังคมเกษตร ครึ่งหนึ่งของประชากรก็อยู่ในสังคมการเกษตร นี่คือจุดแข็ง เราเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก คือ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์ม ยางพารา ข้าวโพด ไทยติด 1 ใน 5 ผู้ผลิตของโลก ฉะนั้น
เรา คือมหาอำนาจทางด้านการเกษตรของโลกตัวจริงแต่เรายังไม่ได้ใส่การตลาด การเพิ่มมูลค่าสินค้า การบริหารจัดการ การประชาสัมพันธ์ ใส่คาแรคเตอร์กันอย่างจริงจัง คือ ปลูกข้าวขายข้าว ปลูกมันขายมัน ปลูกยางขายยาง สมมุติ จากนี้ไปมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจด้านการเกษตรใหม่ ภายใน 10 ปีสินค้าเกษตรต้องออกไปเป็นสินค้าที่เพิ่มมูลค่า ตัวอย่าง ยางพารา ประเทศไทยผลิตยางพารา ปีละ 4 ล้านตัน เอายางพารา 5 แสนตันมาผลิตเป็นถุงมือ ยางรถยนต์ หมอน คือ เอามาแค่ 15% เปลี่ยนจากวัตถุดิบเป็นอุตสาหกรรมส่งออก มูลค่าของการส่งออก เท่ากับ 85% ของที่เหลือ คือ 3.5 ล้านตัน

ที่ส่งออกยางพาราเป็นวัตถุดิบ เมื่อทุกอย่างเป็นสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 เท่า และการเพิ่มมูลค่าเพิ่มกับสินค้าเกษตรทุกอย่าง ข้าว มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม ข้าวโพด เป็นการเพิ่มมูลค่าระดับสูงด้วยเทคโนโลยี ถ้าทำอย่างนี้แล้วเราก็มีแผนทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจว่าโครงสร้างแบบนี้ผลผลิตทางด้านการเกษตรส่งออกเป็นวัตถุดิบ เป็นสัดส่วนต่อส่งออกเป็นอุตสาหกรรมด้านเกษตร ปีต่อไป 60 : 40 ต่อไป 50 : 50 อีก 10 ปี จะไม่เห็นเราส่งสินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบแล้ว แต่จะเป็นสินค้าที่แต่งตัวแล้วในด้าน

อุตสาหกรรมการเกษตร และอีก 10 ปีข้างหน้า ไทยจะยิ่งใหญ่ รัฐบาลต้องใช้โอกาสนี้ เราต้องมีการพัฒนาเรื่องการเกษตรอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาการเกษตรเป็นอะไรที่เรามองบางมาก ทุกวันนี้โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีอะไรบ้าง มอเตอร์เวย์ ทางด่วน รถไฟฟ้า อีอีซี สนามบิน

 


วันนี้ยังไม่ค่อยได้ยินคำว่าโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรว่าปีนี้จะมีโครงการอ่างเก็บน้ำใหญ่ๆ อะไร ปีนี้จะเป็นโครงการเขื่อนใหญ่อะไรที่ให้น้ำเพื่อการเกษตร ปีนี้จะมีโครงการชลประทานอะไร ปีนี้จะมีโครงการดาวเทียมเพื่อการเกษตรหรือโครงการพัฒนาต่าง ๆ โครงการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือโครงการสมาร์ทฟาร์มเมอร์ หรือโครงการยกระดับแรงงานภาคเกษตรอย่างไร ฉะนั้น การพัฒนาประเทศด้วย
โครงสร้างพื้นฐานทั่วไป ที่มันกระจายไปเยอะแล้วมาโฟกัส เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเกษตรบ้าง และจัดระดับความสำคัญของงบประมาณ มีแผน 5 ปี 10 ปี ภาคเกษตรจะเป็นแบบนี้ คิดดูว่าความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย

เรื่องสุดท้ายคือ การท่องเที่ยว เมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของโลก คิดว่าถ้าเราสามารถที่จะเติมในเรื่องของโครงสร้างเป็นฐานทางด้านการท่องเที่ยวของเก่าเราดีอยู่แล้วในเรื่องของประเพณี วัฒนธรรมของชาติ สินค้า OTOP ภาคบริการ รอยยิ้ม อาหาร อะไรต่างๆ ตอนนี้ แต่เติมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางด้านท่องเที่ยว ถนนสวยๆ เข้าไปในแหล่งท่องเที่ยว ถนนเลียบชายหาด รัฐบาลเคยมีโครงการ ไทยแลนด์ ริเวียร่า เป็นโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ตอนบนด้านอ่าวไทย

ตั้งแต่เพชรบุรี ชะอำ หัวหิน ปราณบุรี ประจวบ ชุมพร ไปจนถึงสุราษฎร์ธานี ยาวประมาณ 400 กิโลเมตร ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพชรบุรี เป็นเมืองที่มีพระราชวังเก่า ชะอำ เมืองสนุก หัวหิน เป็นเมืองแบบ Nice, Cannes ปราณบุรี เป็น St.Tropez ชุมพร

เมืองดำน้ำระดับโลก เกาะเต่า เกาะนางยวน สมุย หมู่เกาะอ่างทอง เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ด้ามขวานฝั่งซ้ายอันดามันก็มีภูเก็ตทั่วโลกรู้จัก บ้านเรามีชายฝั่งทะเลกว่า 2000 กิโลเมตร มีประเทศไหนในโลกที่มีชายฝั่งทะเลสวยและติดทั้งสองฝั่งทั้งอันดามันและอ่าวไทย มันก็เลยมีโครงการที่จะทำไทยแลนด์ ริเวียร่า ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในอนาคต เหมือนฝั่งชลบุรี พัทยา ระยอง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นพื้นที่อีอีซี โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกไปแล้ว

แต่ท่ามกลางความสวยงามเรื่อง infrastructure 400 กิโลเมตรฝั่งอ่าวไทยไม่มีท่าจอดเรือ marina สักแห่ง ลองคิดดูพัทยามี marina หนึ่งแห่งที่ทำให้พัทยาเกิด ภูเก็ต มี marina ตั้ง 5-6 แห่ง เพราะยกเลิกการเก็บภาษีเรือยอร์ช ซึ่งเคยเก็บกัน 300 ถึง 400% ในอดีต ตอนนี้เรือยอร์ชมหาเศรษฐีมาภูเก็ตกันเยอะ ทำให้เกิด marina ทำให้ภูเก็ตเป็นเกาะระดับโลก ฉะนั้น เราพูดถึงการปรับโครงสร้างภาษี เราควรจะต้องปรับโครงสร้างภาษีให้เหมาะกับจังหวะของประเทศ

อันนี้ยกตัวอย่างโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการท่องเที่ยว ต้องรีบทำ marina ถนน ทางรถไฟ สถานีรถไฟสวยๆ อันไหนที่รัฐบาลทำไม่ได้ก็ให้เอกชนทำ แต่รัฐบาลต้องอำนวยความสะดวกอะไรต่าง ๆ ให้มันเกิดแหล่งท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐานทางด้านการท่องเที่ยวที่ลงทุนโดยภาคเอกชน ที่เราควรจะรีบเข้าไปส่งเสริมในการลงทุนขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า Man Made Destination

ตัวอย่าง ประเทศเพื่อนบ้านใน อาเซียน มีการถมทะเลและมีแหล่งท่องเที่ยว Universal ทุกคนแห่ไปเที่ยว แต่ของเรายังไม่ค่อยมีการลงทุนขนาดใหญ่ ถ้าเราส่งเสริมในเรื่องมาตรการทางภาษี เชื้อเชิญ เค้ามาลงทุนด้าน Man Made Destination บวกกับโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และความสวยงามของธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่มีอยู่แล้ว จะทำให้การท่องเที่ยวของเรามีความหลากหลาย และเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยอาศัยจังหวะที่ว่ามาเที่ยวเมืองไทยแล้วไม่มี โควิด มาเที่ยวเมืองไทยแล้วปลอดภัยทางด้านสาธารณะสุข ฉะนั้น

จากนี้ไป นิว นอร์มอล ด้านเศรษฐกิจ นอกเหนือจาก นิว นอร์มอล ด้านการเมืองแล้ว นิว นอร์มอล ด้านเศรษฐกิจเราต้องมาหาตัวตนเราให้เจอ ว่าตัวตนเราอยู่ที่ไหน เราก็ทำในเรื่องนั้น การจะขึ้นเวทีเข้าไปชก เราไม่เข้มแข็งไม่ได้ การเกษตร การท่องเที่ยวความเป็นอยู่ ทำเมืองไทยให้เป็นบ้านหลังที่สองของโลก ถ้าทำตัวนี้ไม่ต้องสนใจเรื่องจีดีพี มากนัก แต่คนไทยทุกกลุ่มได้ประโยชน์โดยความเท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ำ เราก็แข็งแรงได้ด้วยถ้าเกิดโควิด 2 โควิด 3 โควิด 4 ไม่มีผลกระทบอะไรกับเรา เพราะเราอยู่บนความเข้มแข็งของเรา เราไม่ได้พึ่งอะไรใคร ยิ่งเกิดอะไรมากต่างประเทศต้องยิ่งวิ่งมาหาเรา
0คิดว่าครม. ใหม่จะอยู่ครบเทอมไหม

-คนไทยทั้งประเทศฝากความหวังกับรัฐบาล ท่านนายกรัฐมนตรีถือว่าเป็นหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรีทั้ง 36 คน ก็ต้องทำงานกันเต็มที่ เสียสละวันนี้ รัฐบาลเกือบครึ่งเทอมแล้วจะปีครึ่งแล้ว ครึ่งแรกมาแบบช้า ๆ ครึ่งหลังมาเร็วและเป็นครึ่งหลังที่อยู่บนความหวัง ความอยู่รอดของประเทศ ฉะนั้น

ทุกคนต้องเสียงสละเพื่อประเทศชาติ ส่วนจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ หรือจะมีอุบัติเหตุไหม ถ้าอยู่ครบเทอมได้ดีมันต่อเนื่อง มีเวลาทำงาน ยิ่งได้คนดี คนเก่ง เสียสละ เข้ามาแล้วทำงานได้ทำงานเป็นทีมต้องให้เขาอยู่ยาวๆ เพื่อให้เขาแก้ไขปัญหาประเทศ แต่จะอยู่ยาว อยู่สั้น การเมืองไม่แน่เหมือนขับรถออกจากบ้านยางแตก ชนเฉี่ยวก็ได้ หรือบางที่ทะเลาะกันในรถมันมีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้เยอะ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image