เดินหน้าชน : ผดุงความยุติธรรม : โดย สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา

เชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ตำรวจเชียงใหม่ ไปอายัดศพ นายจารุชาติ มาดทอง พยานปากเอกคดีบอส วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจตาย ทั้งตำรวจและอัยการต่างมีความเห็นไม่ฟ้อง และมีบางคดีหมดอายุความ

ท่ามกลางความแคลงใจไม่เฉพาะคนไทย แต่ยังฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแบบนี้

หาก พล.อ.ประยุทธ์ หรือแม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในบ้านนี้เมืองนี้ ไม่ช่วยกันทำความจริงให้กระจ่าง ผลกระทบที่จะตามมาจะรุนแรงมากมายมหาศาลอย่างยิ่ง

เพราะมาถึง ณ จุดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องคนมีเงินขับรถชนตำรวจตายเท่านั้น เพราะแม้ฝ่ายคู่กรณีจะไม่อยากมีเรื่อง จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

Advertisement

แต่หากไม่ช่วยกันแก้ไขให้คลี่คลายไปในทางที่ถูกต้องแล้วละก็ ผลกระทบจะไม่ใช่เกิดกับบรรดาผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่จะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง

ผลกระทบจะเกิดกับคนไทยทุกคน เพราะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการยุติธรรมของไทย ใครเขาจะกล้ามาลงทุนหรือจะมีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย หากยังมีเรื่องเคลือบแคลงใจกันแบบนี้เกิดขึ้น

ณ วันนี้ เชื่อเหลือเกินว่าบรรดานักวิเคราะห์ นักจัดอันดับต่างๆ คงจ้องจะปรับลดเกรดประเทศไทยในแง่ความน่าเชื่อถือ และอาจหมายรวมถึงความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจด้วยซ้ำ เพราะเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ถือเป็นมาตรฐานที่ทุกประเทศควรให้ความสำคัญ

Advertisement

หากเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น นั่นหมายถึงต้นทุนการดำเนินธุรกิจของคนไทย โดยเฉพาะในแง่ภาพพจน์ อาจจะลดต่ำเตี้ยลงไปกว่าเดิมที่มีภาพพจน์เรื่องความเหลื่อมล้ำและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่สู้จะดีเท่าไหร่นักในสายตาชาวโลกที่เราทำมาค้าขายกับเขาอยู่ตอนนี้

ดังนั้น เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีและผู้ที่ต้องรับผิดชอบทุกคนจะต้องไปให้สุด แล้วหยุดที่เอาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาลงโทษให้ได้

ทำให้เด็กมันดูว่านายกฯลุงตู่เอาจริง ไม่ใช่แค่มุ้งมิ้ง เหมือนที่เคยมีทหารคนหนึ่งเคยเปรียบเปรยม็อบเยาวชนปลดแอกเป็นม็อบมุ้งมิ้ง

แต่ในที่สุดก็มุ้งมิ้งกันทั่วประเทศ จนถึงตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะขยายวงไปไกลกว่าที่ผู้ใหญ่หลายคนจะคาดคิด

เชื่อว่าวันนี้ หลายคนคงจะหยิบยกเรื่องคดีบอสมาเป็นหัวข้อพูดคุยกันในหลากหลายแง่มุม จนกลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ไปแล้ว

มีคนตั้งคำถามว่า ทำไมฝั่งครอบครัวอยู่วิทยาถึงเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาแบบนี้ เหตุเกิดเพราะ “พ่อแม่รังแกฉัน” เลี้ยงลูกตามใจลูกแบบผิดๆ จนเหตุการณ์บานปลายแบบนี้หรือไม่

ทำไมไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาเหมือน “คดีเสี่ยเบนซ์” พลิกกลับกลายจาก “ซาตาน” เป็น “เทพ” ได้อย่างเหลือเชื่อ
ก็เพราะความที่เป็นคนมีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึกของความเป็นคน เมื่อทำผิดแล้วก็ยอมรับผิด แบบแมนแมน เป็นแบบอย่างที่ดีที่สังคมหรือแม้แต่คู่กรณีก็พร้อมให้อภัย

แตกต่างจากคดีนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมชัดเจนอย่างยิ่ง

แต่เชื่อเถอะว่า แม้จะดูเหมือนว่ากฎหมายเอื้อมไปจัดการได้ยากเต็มที เพราะมีพละกำลังมหาศาลแบบนี้

แต่ขอให้ระวังมาตรการทางสังคมให้ดีก็แล้วกัน อาจจะรุนแรงกว่ามาตรการทางกฎหมาย และเชื่อว่าจนถึงตอนนี้ ทั้งญาติและคนใกล้ชิดกับตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คงจะเริ่มได้รับผลกระทบกันบ้างแล้วไม่มากก็น้อย และเชื่อว่าผลกระทบทางสังคมจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต

คอยดูเถอะ งานนี้มีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน อาจจะต้องมาเสียคนเอาตอนแก่ และยังกระทบชิ่งไปถึงลูกหลานอีกต่างหาก

ดังนั้น มาถึงวันนี้ยังมีเวลาให้กลับตัวกลับใจ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้จะกลายเป็นแผลในใจ และตามหลอกหลอนกันไปตลอดชีวิต หากรู้ตัวว่าทำผิดและมีความสำนึกต่อบาป ควรจะสำนึกผิดและช่วยกันทำความจริงให้ปรากฏ

ที่สำคัญเพื่อผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม เพื่อให้สังคมไทยที่นับวันยิ่งเสื่อมทรามลงไปเต็มที น่าอยู่มากขึ้น ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็ขอให้นึกถึงลูกหลานจะอยู่กันอย่างไร ถ้าปล่อยให้กติกาบ้านเมืองเป็นแบบนี้

อย่าลืมว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ คือเรื่องจริงของชีวิต และ “วีรบุรุษ” กับ “ทรราช” มีเส้นแบ่งอยู่นิดเดียว

ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจในบ้านนี้เมืองนี้จะเลือกเป็นอะไร

 

สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image