‘กลุ่มแคร์’ ชูรธน.ในฝัน ต้องปลุกสังคม-กระบวนการยุติธรรม ไม่รับรองฉีกรัฐธรรมนูญ

‘กลุ่มแคร์’ ชูรธน.ในฝัน ต้องปลุกสังคม-กระบวนการยุติธรรม ไม่รับรองฉีกรัฐธรรมนูญ ‘สิริพรรณ’ แนะแก้รธน.ก่อนยุบสภาฯ ตัดส.ว.เลือกนายกฯ

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ลิโด้ คอนเนคท์ สยามสแควร์ กลุ่มแคร์จัดงานเสวนาหัวข้อ “ชวน คิด เคลื่อน เขียน รัฐธรรมนูญฉบับในฝันของประชาชน” เพื่อร่วมกันสร้างรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยให้เป็นฉบับสุดท้ายของประเทศไทย และให้เกิดขึ้นที่รุ่นเราจริงๆ โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งของกลุ่มแคร์ อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯ ร่วมกิจกรรม ทั้งนี้บริเวณด้านหน้าสถานที่ทำกิจกรรม กลุ่มโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนหรือไอลอว์ ได้ตั้งโต๊ะล่าชื่อประชาชน “5 หมื่นชื่อ ร่วมรื้อ ร่วมสร้าง ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ” มีประชาชนรวมทั้งคนรุ่นใหม่ สนใจลงชื่อร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างคึกคัก

ทั้งนี้ภายในงานมีวิทยากรจากหลากหลายวงการมาร่วมเสวนา อาทิ นายโกวิท วงศ์สุรวัฒน์ อดีตอาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ในฐานะคนแก่ เริ่มชินชากับวิกฤตทางการเมืองไทยไปแล้ว สอนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตั้งแต่ปี 2515 สอนเรื่องรัฐธรรมนูญมาตลอด แต่ยังอ่านรัฐธรรมนูญไม่รู้เรื่อง แค่คำปรารภก็ไม่ไหวแล้ว และต้องเจอกับรัฐธรรมนูญที่ร่างกันยาวขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมแค่กระดาษเอสี่ พอเริ่มปี 2517 เขียนกันยาวขึ้นๆจนคนไม่อ่าน ที่สำคัญอ่านไม่รู้เรื่องด้วย ช่วงเด็กๆมีโอกาสได้ไปเรียนที่สหรัฐฯ ได้พบว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้สั้นมากแค่ 10 กว่าหน้า และใช้มานานจนถึงทุกวันนี้ ขณะที่รัฐธรรมนูญของไทยยาวเกินไป ไม่มีประโยชน์ และอ่านไม่รู้เรื่อง แม้แต่ครูบาอาจารย์ยังอ่านไม่รู้เรื่อง ที่สำคัญคือควรใช้ภาษาคนธรรมดา และที่แปลกใจคือทำไมต้องมีแนวนโยบายแห่งรัฐ และมียุทธศาสคร์ชาติซ้ำเข้าไปอีก ดังนั้นหากอยากออกจากวิกฤตต้องเริ่มเขียนรัฐธรรมนูญให้สั้นและอ่านรู้เรื่อง ทั้งนี้รัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 รับรองสิทธิเสรีภาพประชาชนมากที่สุด ดังนั้นอยากได้รัฐธรรมนูญที่สั้น คนอ่านรู้เรื่อง ที่เรามีปัญหาเพราะเราอ่านไม่รู้เรื่องจึงเถียงกันไปมาแบบนี้

นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าการเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องปกติ โดยปัญหาหลัก คือ การไม่มีประชาธิปไตย วิกฤตในการเมืองไทย โดยปัญหาของรัฐธรรมนูญไทย มีคติเรื่องอำนาจ 4 ด้าน คือ อำนาจเป็นสิ่งรูปธรรม อำนาจเป็นสิ่งที่กลมกลืนเดียวกัน อำนาจมีปริมาณในจักรวาลที่คงที่ และอำนาจไม่นำไปสู่คำถามเรื่องความชอบธรรม อีกทั้งรัฐธรรมนูญต้องบังคับผู้มีอำนาจได้ หากเกิดรัฐประหาร ต้องลงโทษได้ และอำนาจต้องมีความชอบธรรมโดยประชาชน ขณะเดียวกันอนาคตของรัฐธรรมนูญไทย ประชาชนสามารถมีอิสระเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ความเสมอภาค เท่าเทียมในทางเพศสภา การทำงาน การศึกษา ควบคุมการใช้อำนาจของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และอะไรที่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนกำหนดให้เป็นอำนาจของประชาชน

ด้านนางสิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวตอนหนึ่งว่า วิกฤตด้านเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ โรคระบาด กระบวนการยุติธรรม โครงสร้าง จะเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญ โดยมีความสัมพันธ์ทางอำนาจและที่มาของรัฐบาล พร้อมแนะหลักการให้กลุ่มมวลชนที่ออกมาเคลื่อนไหว คือ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ควรทำก่อนยุบสภา ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะได้นายกรัฐมนตรีคนเดิมหรือคนใหม่ที่มาจากการจัดตั้ง โดยไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจะสูงมาก ส่วนกระบวนการแก้ 2 แนวทาง โดยไม่ต้องทำประชามติ เริ่มจากแก้ที่มานายกฯ กำหนดให้มาจากส.ส. มีคะแนนเสียงข้างมากในสภา ไม่ใช่มาจากรัฐสภาที่มีส.ว.มาร่วมเลือก และการแก้ไขระบบเลือกตั้งจะกลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 แนวทางการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมทั้งฉบับ ต้องมีการทำประชามติ โดยกำหนดให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) 100 คน ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ทำการยกร่างรัฐธรรมนูญ 4 เดือน รณรงค์ทำประชามติ 2 เดือน จัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 2 เดือน รวมเวลาประมาณ 10 เดือน และจัดให้มีการเลือกตั้งภายในไม่เกิน 1 ปี แต่คำถามสำคัญ คือ ในระหว่างนี้ใครทำหน้าที่รัฐบาล อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญในฝัน ต้องกำหนดอำนาจรัฐชัดเจนไม่ขยาย ไม่ตัดแต่ง ต่อเติม ตามใจ มีกลไกที่มีประสิทธิภาพให้ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนผ่านระบบตรวจสอบคานอำนาจ ที่สมดุลทั้งแนวตั้งและแนวนอน การส่งเสริมความเข้มแข็งของโครงสร้างและสถาบันทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับประชาชนในระยะยาว เช่น พรรคการเมือง องค์กรควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐต่างๆ มีทางออกให้กับปัญหาที่คาดไม่ถึง เช่น วิกฤตโรคระบาด วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตกระบวนการยุติธรรม และได้รับความเห็นพ้องยอมรับหรือฉันทามติในสังคมมากพอที่จะได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความชอบธรรม

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนที่คัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 พูดกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้เกิดการสืบทอดอำนาจของ คสช. กลไกต่างๆ ขึ้นกับ คสช.ที่สร้างความได้เปรียบและทำลายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งไม่มีทางได้คนดี มีความสามารถเข้ามาแก้วิกฤตประเทศ เราจะได้ระบบที่ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ พอใช้มาระยะหนึ่งก็เกิดการเรียกร้องให้แก้ แม้กระแสเกิดขึ้นไม่เร็ว แต่เมื่อผ่านวิกฤตโควิด-19 รวมทั้งการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษา ทำให้เห็นชัดว่าสิ่งที่คาดการณ์มานั้นถูกต้อง ทั้งนี้รัฐธรรมนูญในฝันที่อยากได้ คือรัฐธรรมนูญที่ให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างจริงจังและเป็นจริง แต่ที่เขียนไว้ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพเลย ประชาชนควรเป็นผู้กำหนดรัฐบาลได้ อำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ ต้องตรวจสอบได้โดยประชาชน องค์กรตามรัฐธรรมนูญต้องไม่เป็นอิสระจากประชาชน และไม่อยู่ใต้ผู้มีอำนาจ กระบวนการยุติธรรมต้องยึดโยงประชาชน วิพากษ์วิจารณ์ได้ ต้องกำหนดให้ชัดว่ารัฐบาลที่มาจากพลเรือนมีอำนาจเหนือกองทัพ ไม่ใช่ให้กองทัพเป็นอิสระจากรัฐบาลและรัฐสภา

นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้เมื่อประชาชนต้องการแก้ไข ส่วนจะทำอย่างไรให้เป็นรัฐธรมนูญฉบับสุดท้ายนั้น การเขียนว่าห้ามฉีกไม่มีประโยชน์ ต้องทำให้สังคมไม่ยอมให้มีใครมาฉีกรัฐธรรมนูญ รวมทั้งที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมรับรองการฉีกรัฐธรรมนูญ ดังนั้นกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประชาชนต้องมีส่วนร่วม รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ และเห็นคุณค่าร่วมกันว่าใครจะฉีกรัฐธรรมนูญไม่ได้ ศาลจะรับรองไม่ได้ และส่วนตัวหากให้แก้รัฐธรรมนูญ ควรแก้ 2 ส่วน คือตัดอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ ยกเว้นเงื่อนไขไพรมารีโหวตให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัคร ส.ส.ได้ ให้มีนายกฯ ใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง นำไปสู่การแก้ มาตรา 256 ตั้ง ส.ส.ร.ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งกระบวนการ ที่สำคัญต้องส่งเสริมการเคลื่อนไหวของนักศึกษาให้มีมากขึ้นตลอดกระบวนการ จนกว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และวันเลือกตั้งให้ลงประชามติเพื่อเปิดช่องให้มี ส.ส.ร.มาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วก็ทำประชามติอีกรอบ เพื่อเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายจริงๆ

ด้านนายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน(ไอลอว์) กล่าวว่า หลักประกันด้านการเป็นเจ้าของอำนาจรัฐในทุกมิตินั้น ต้องเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั้งในระดับประเทศ ระดับท้องถิ่น และระดับชุมชน โดยสมาชิกรัฐสภา นายกฯ และรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งพรรคการเมืองจดทะเบียนอัตโนมัติ พวกขุนนางไม่มีสิทธิ์สั่งยุบพรรคการเมือง ต้องยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน การปกครองท้องถิ่นโดยองค์กรที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น หน่วยงานตำรวจ ทหาร และหน่วยงานราชการควรมีคณะกรรมการตรวจสอบที่มีองค์ประกอบส่วนใหญ่มาจากภาคประชาชน มีโรงเรียน โรงพยาบาลเป็นของชุมชนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนในคุกมากที่สุดในโลก ที่ส่วนใหญ่เป็นคนจนและมีความผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นเรือนจำไม่ใช่เป็นสถานที่ลงโทษ แต่ควรมีไว้เพื่อเปิดโอกาสให้คนได้แก้ไข และสิ่งที่นายอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เคยพูด เป็นสิ่งที่อยากเห็นในสังคมประชาธิปไตยซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย เราต้องทำให้มีความเสมอภาคเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจระหว่างเมืองกับชนบท แต่ปัญหาใหญ่ประเทศเรามีกลุ่มทุนผูกขาดไม่กี่กลุ่มที่จะต้องไปแก้ไข เราต้องใช้ระบบรัฐสวัสดิการทุกด้าน และรายได้พื้นฐานต้องถ้วนหน้า

ขณะที่น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนท.) กล่าวว่า เป็น 1 ใน 31 รายชื่อที่อาจโดนหมายจับ หรือหมายเรียกจัดการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมาจากตำรวจ ขณะนี้มีสองราย คือ ทนายอานนท์ และไมค์ ที่ถูกจับและได้รับการประกันตัวมาแล้ว โดยตนถูกขับรถตามโดนถ่ายวิดีโอ ไม่ว่าพูดอะไรจะถูกบันทึกโดยฝ่ายความมั่นคง สิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่สับสนว่าจะโดนหมายเรียกหรือหมายจับ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับนักเคลื่อนไหวในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย รู้สึกเศร้าที่เกิดมาจะอายุ 22 ปีแล้วยังไม่เห็นประเทศเป็นประชาธิปไตย อยู่ในรัฐที่คนสร้างความหวัดกลัวให้เกิดขึ้นในรัฐ อยู่ในประเทศที่ต้องเรียกร้องหาประชาธิปไตยทั้งที่ควรจะมีตั้งแต่เกิด

“เป็นคนต่างจังหวัดแต่อยากเห็นสังคมดีกว่านี้ แต่สิ่งที่เจอทุกครั้งที่เราต่อสู้เรียกร้องก็จะเจอกับการต่อต้าน ไม่มีครั้งไหนที่รัฐโอบอุ้มเราหรือเห็นเราเป็นพลเมืองคนหนึ่ง เคยย้อนถามตัวเองตลอดว่าเราเป็นคนเท่ากันหรือเปล่า สุดท้ายต้องกลายเป็นผู้ต้องหาในหลายคดี ทั้งที่พยายามเคลื่อนไหวเพื่อให้ตัวเองและประเทศปลอดภัยกว่านี้ แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นเพราะเราอยู่ในกติกาที่ไม่เป็นธรรม อยู่ในรัฐธรรมนูญที่มีสิ่งเหนือกว่ารัฐธรรมนูญ ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งเหล่านี้จะหยุดตอนไหนในบางครั้งรู้สึกหมดแรง แต่เมื่อถูกต่อต้านก็พร้อมจะกลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง สำหรับรัฐธรรมนูญในฝันนั้น อยากผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้าไปไกลกว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2489 และ 2540 ต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่ยืดหยุ่นล้มยากตอบโจทย์ประชาชน ทุกคนต้องเท่าเทียมเสมอภาพ ไม่ว่านายทุนขุนศึกคนเดินดินจะต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน”น.ส.จุฑาทิพย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลัง น.ส.จุฑาทิพย์กล่าวจบ ผู้ร่วมงานทุกคนภายในฮอลล์ ต่างลุกขึ้นปรบมือให้กำลังใจ น.ส.จุฑาทิพย์อยากเนืองแน่น

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image