การแถลงของพรรคภูมิใจไทยที่จะเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่เกิดขึ้น ณ รัฐสภา แม้จะคล้อยหลังการแถลงของพรรค ร่วมฝ่ายค้าน แต่ก็ถือว่าเป็นการแถลงที่ไม่ธรรมดา
1 ทุกอย่างเป็นมติพรรค 1 เป็นการแถลงนำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค
หากมองจากทางด้านของรัฐบาลย่อมถือได้ว่าพรรคภูมิใจไทยโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ก้าวล่วงหน้าไปแล้ว 1 ก้าวใหญ่ในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งๆที่เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 พรรคภูมิใจมิได้มี”เงื่อนไข”ในการเข้าร่วมรัฐบาลเหมือนกับที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
นี่ย่อมเป็นการชิง”การนำ”อันเฉียบคมอย่างยิ่ง
ชิงการนำเหนือพรรคประชาธิปัตย์ ชิงการนำเหนือพรรคชาติไทยพัฒนา ชิงการนำเหนือพรรคพลังประชารัฐ
ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์เลือกจังหวะก้าวในการขับเคลื่อน ประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ช้ากว่าพรรคภูมิใจไทยอย่าง เห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะมองในด้าน “มติพรรค” ไม่ว่าจะมองในด้านการออกโรงของหัวหน้าพรรค
นั่นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ประเมินการเคลื่อนไหวของ”เยาวชนปลดแอก” ที่ขยายตัวเติบใหญ่เป็น “ประชาชนปลดแอก” และโดยเฉพาะการออกมาของ”นักเรียน”ต่ำกว่าความเป็นจริง
นั่นก็คือ ยังมะงุมมะงาหราอยู่ในความงุนงงสงกาเหมือนกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกอยู่ในสภาวะนะจังงัง ทำอะไม่ถูกอยู่ในขณะนี้
เนื่องจากยังอยู่ในยุคโทรศัพท์”บ้าน”ขณะที่มี”สมาร์ทโฟน”
เด่นชัดว่าไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังวิ่งวนอยู่ในยุค”อะนาล็อก”แม้ยุค”ดิจิทัล”จะเข้ามาแล้ว
ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นประเด็นอันแหลมคมที่สุดในทางการเมือง คำถามมิได้อยู่ที่ว่าพรรคการเมืองใดจะช่วงชิงได้ก่อน หากแต่อยู่ที่ว่าจะช่วงชิงอย่างไร
เพราะภายหลังการมีรัฐธรรมนูญ”ใหม่” นั่นหมายถึงการยุบสภาและการเลือกตั้ง
ตอนนี้แหละที่ใครไม่ทันก็จะกลายเป็นคนหลงทางไปเลย
นี่คือคำถามที่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนาจักต้องรีบหา”คำตอบ”