กรณีของ “เรือดำน้ำ” กำลังทดสอบอำนาจและบารมีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อันมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นฐานกำลังอย่างสำคัญ
ชัยชนะที่ได้มาในชั้น “อนุกรรมาธิการ” ยังมิได้เป็นปัจจัยชี้ขาดอย่างแท้จริง
ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ที่ขั้น “กรรมาธิการ”
และพลันที่มีการลงมติในชั้น “กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564” นั่นแหละ ที่แต่ละโฉมหน้าของพรรคการเมืองจะปรากฏ
ที่ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยนั้นเป็นความไม่เห็นด้วยในทางส่วนตัว หรือว่าเป็นความไม่เห็นด้วยในฐานะของรองหัวหน้าพรรค
หากสามารถอาศัยพลังของรองหัวหน้าพรรคให้เป็น “มติพรรค” ออกมาได้กรณีของ “เรือดำน้ำ” ก็จะต้องแปรเปลี่ยน
แปรเปลี่ยนเป็นการแขวนงบประมาณแทนที่จะเดินหน้าซื้อ
ไม่เพียงแต่กรณีของ “เรือดำน้ำ” เท่านั้น อีกกรณีหนึ่งซึ่งกำลังพิสูจน์ ทราบธาตุแท้และความเป็นจริงของแต่ละพรรคการเมืองว่ามีทิศทาง อย่างไร
นั่นก็คือ กรณีการแก้ไข “รัฐธรรมนูญ”
เพียงความเห็นชอบว่าจะเสนอให้มีการเปิดประตูการแก้ไขผ่าน มาตรา 256 อาจฟังดูหะรูหะราอย่างยิ่งในทางการเมือง ไม่ว่าจะมอง ผ่านพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์
แต่ที่สำคัญมากยิ่งกว่าก็คือ รายละเอียดของการเหยียบบาทก้าวไปสู่การจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ “สสร.” นั้นเป็นอย่างไร
ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อใดที่มีการเสนอรายละเอียดอันเป็นองค์ประกอบ แห่งสสร.ออกมา เมื่อนั้นความเป็นจริงก็จะเผยแสดง
เผยแสดงว่าต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในแบบไหน แก้ไขแบบปะผุ หรือว่าต้องการยกร่างขึ้นใหม่ให้เป็นประชาธิปไตย
น่ายินดีที่โลกโซเชียลได้นำเอาแต่ละคำพูดของคนสำคัญในแต่ละพรรคการเมืองออกมาตอกย้ำ
ไม่ว่าพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย หรือประชาธิปัตย์
อย่างน้อยก็ทำให้สังคมรับรู้ว่าท่าทีต่อ “รัฐธรรมนูญ” ของแต่ละพรรคเป็นอย่างไร
เมื่อท่านพูดคนจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำคนจะเชื่อ