หากนับจำนวน หากนับเสียง การลงมติในโครงการซื้อเรือดำน้ำของ กองทัพเรือ แนวโน้มที่จะคว่ำหรือชะลอการจัดสรรเงินงบประมาณมี ความเป็นไปได้น้อยมาก
เพราะลำพังกรรมาธิการที่มาจากรัฐบาล มาจากครม.ก็มีมากถึง 18 เสียงอยู่แล้ว
เป็นไปได้น้อยมากที่ฝ่ายค้าน 24 เสียงจะต่อกรได้
เพราะเมื่อบวกเข้ากับกรรมาธิการจากพรรคพลังประชารัฐ 13 จากพรรคภูมิใจไทย 7 ก็ชนะอย่างเห็นๆ คือ 14 เสียง
แม้จะได้จากพรรคประชาธิปัตย์ไป 6 ก็ยังพ่ายแพ้
เพราะฝ่ายของรัฐบาลยังมีเสียงจากพรรคชาติไทยพัฒนา 1 พรรครวมพลังประชาชาติไทย 1 พรรคพลังท้องถิ่นไท 1 พรรคเศรษฐกิจใหม่อีก 1
กระนั้น ที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาดคือพลังกดดันในทางสังคม พลังกดดันจากนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน
พลังนี้แหละที่สำคัญและทรงความหมายเป็นอย่างสูง
ถามว่าปัจจัยอะไรทำให้เกิดอาการรวนเรขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ แม้ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู จะยืนอยู่ข้างกองทัพเรือ ยืนอยู่ข้างพรรคพลังประชารัฐ
คำตอบที่ตรงเป้าและชัดที่สุด คือ กระแสกดดันอันมาจากความต้องการของสังคม
ในที่สุดก็กลายเป็น”มติ”ของพรรคประชาธิปัตย์
บาทก้าวแรกของพรรคประชาธิปัตย์ย่อมสะกิดเตือนไปยังพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา แม้ว่ารวม 7 เสียงพรรคภูมิใจไทย 6 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ 1 เสียงจากพรรคชาติไทยพัฒนา
จะยังไม่สามารถเอาชนะทางด้านรัฐบาล ทางด้านพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรคเศรษฐกิจใหม่ได้
แต่นี่คือ สัญญาณอันทรงความหมายยิ่งในทางการเมือง
เพราะสัญญาณอันมาจากกระแส มาจากอารมณ์ในทางสังคม คือแนวโน้มที่จะถูกแปรเป็นคะแนนเสียงในอนาคต
พรรคการเมืองไม่ว่าพรรครัฐบาล ไม่ว่าพรรคฝ่ายค้าน ต้องเงี่ยหูฟังเสียงจากสังคม เสียงจากประชาชน หัวใจอยู่ที่ประชาชน
เพียงแต่ว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะถอดรหัสอันมาจากประชาชนได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นของปัญหามากน้อยเพียงใด
สัญญาณนี้กำลังส่งผ่านพรรคประชาธิปัตย์อย่างมีนัยสำคัญ