‘บิ๊กตู่’ ชะลอซื้อเรือดำน้ำ แต่เลิกไม่ได้เป็นแผนพัฒนากองทัพ เจรจาจีนชะลออีก 1 ปี

"บิ๊กตู่" ชะลอซื้อเรือดำน้ำ แต่เลิกไม่ได้เป็นแผนพัฒนากองทัพ เจรจาจีนชะลออีก 1ปี

‘บิ๊กตู่’ ถอยชะลอซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ 3.9 พันล้าน ย้ำเลิกไม่ได้เป็นแผนพัฒนากองทัพ กมธ.งบฯลงมติเอกฉันท์ 63 เสียง คว่ำเรือดำน้ำ เจรจาจีนชะลอออกไปอีก 1 ปี

 

บิ๊กตู่ลั่นไม่ยกเลิกแค่ชะลอ

เมื่อวันที่ 1 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นประเด็นร้อนหลังหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำจากรัฐบาลจีน ซึ่งกองทัพเรือได้เสนอตั้งงบประมาณ 3,925 ล้านบาท เพื่อชำระค่างวด ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเรือดำน้ำว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของกรรมาธิการ และเป็นเรื่องของกองทัพเรือที่จะต้องไปชี้แจง เนื่องจากได้ให้แนวทางไปแล้วว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องรอความเห็นของ กมธ.งบประมาณฯก่อน

เมื่อถามว่าทางออกที่ว่ามาคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กองทัพเรือก็ต้องไปคุยกับทางจีนในฐานะคู่สัญญาว่าจะชะลอการจ่ายเงินในปีหน้าได้หรือไม่

Advertisement

เมื่อถามย้ำว่าเราจะเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำต่อเพียงแต่ชะลอการจ่ายเงินไปปีหน้าใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะไปหยุดได้อย่างไร เพราะเป็นแผนการพัฒนาของกองทัพ และที่สำคัญเรามีหลักการ และเหตุผลที่ได้ชี้แจงไปแล้ว เนื่องจากเป็นแผนงานการพัฒนาทางเรือ และต้องไปดูว่าขณะนี้สถานการณ์รอบประเทศเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าจะมองดูเหมือนว่าไกล แต่ก็ไม่ไกลมากนัก และเราก็มีการฝึกร่วมมาโดยตลอด หลายปีมาแล้วเรื่องเรือดำน้ำ แต่เราก็ไม่เคยมีเรือดำน้ำที่จะฝึกร่วมกับเขาเลย

ทั้งที่เรามีพื้นที่อาณาเขตทางเรือฝั่งทะเลมากมายมหาศาลพอสมควร โดยเฉพาะ 200 ไมล์ทะเลที่เกี่ยวกับน่านน้ำของเรา ก็ต้องระมัดระวังตรงนี้เอาไว้ อย่านำการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในแต่ละช่วงมาเปรียบเทียบกัน วันนี้ต้องมองไปข้างหน้า หากช้าเกินไปอาจไม่ทันเวลา สิ่งที่มีก็เพื่อการป้องกันรักษาทรัพยากรทางทะเลของไทย การประมงนอกน่านน้ำและในน่านน้ำ ปัจจุบันเราต้องใช้กองกำลังทางเรือเป็นจำนวนมาก

 

Advertisement

ให้ทร.เจรจากับจีนคู่สัญญา

เมื่อถามว่าได้คุยกับผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ได้ให้แนวทางไปแล้วว่าให้ไปคุยเจรจากับจีน ส่วนงบประมาณจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท ก็ไม่สามารถโยกไปทำอะไรได้ ก็ต้องตีตกกลับมา และเงินตัวนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลังอยู่แล้วว่าจะนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง

เมื่อถามว่าหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางชะลอเรื่องเรือดำน้ำ ทางพรรคเพื่อไทยได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการครอบงำระบบนิติบัญญัติ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่ให้แนวทางกับกองทัพเรือในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อยากให้เข้าใจว่าตนมีสองบทบาท โดยบทบาทแรกคือนายกรัฐมนตรี ที่ต้องรับฟังความคิดเห็นและมองให้รอบด้าน

อีกบทบาทหนึ่งคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ต้องดูแลกองทัพ อะไรก็ตามที่เป็นแผนงานของกองทัพและเป็นเรื่องที่เสนอมาในกรอบวงเงินของเขาที่มีอยู่ ก็บอกว่าหากมีปัญหาเช่นนี้อยากให้ลองไปเจรจากับคู่สัญญาดู เนื่องจากมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพเรือไปเจรจา จะมาบอกว่าปีหน้าเดี๋ยวก็มีปัญหาอีกก็ทำอะไรกันไม่ได้ ทำไมถึงไม่คิดว่าอำนาจนิติบัญญัติกำลังก้าวล่วงอำนาจบริหารบ้าง อยากให้ฟังสองทาง ถ้าเป็นเรื่องที่เสนอใหม่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่เรื่องนี้มีการอนุมัติไว้แล้วชั้นต้นก็ต้องไปหารือกับมิตรประเทศ

 

พท.จี้ยกเลิกซื้อเรือดำน้ำเลย

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรค พท. กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีข้อสรุปให้กองทัพเรือพิจารณาเลื่อนหรือชะลอกรณีจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 ออกไปก่อน ว่าตอนจะดันซื้อ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าเป็นหน้าที่ของ กมธ. แต่พอจะถอยใช้อำนาจนายกฯ ซึ่งถูกตั้งคำถามว่าเป็นการกระทำเข้าข่ายครอบงำการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่

ถ้าภาคประชาชนไม่ส่งสัญญาณเตือนแรงๆ พล.อ.ประยุทธ์จะถอยหรือไม่ สงสัยว่าเหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์ถอยเพราะจำนนต่อหลักฐาน หรือเดินฝ่าแรงต้านไปไม่ไหว ไม่ใช่การถอยแบบมีสำนึก เพราะถ้าสำนึกต้องไม่ใช่แค่เลื่อนหรือชะลอไว้ 1 ปี แต่ต้องเลื่อนให้นานกว่านั้น หรือยุติการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 ไปเลย ถ้าประชาชนไม่ลุกฮือป่านนี้คงหวานคอแร้งรัฐบาลไปแล้ว หวังว่าเมื่อไม่ซื้อเรือดำน้ำแล้ว คงไม่หันไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ประเภทอื่นทดแทน สภาพวิกฤตเศรษฐกิจหนักขนาดนี้ ประชาชนจะไม่ทนอีกต่อไป

 

เผยทร.ให้ปรับลดงบซื้อเรือดำน้ำ

ที่รัฐสภา ในการประชุม กมธ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ที่มี นายวราเทพ รัตนากร รองประธาน กมธ.เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงานผลการพิจารณาของอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ฯ ที่มี นายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งทันทีที่เข้าสู่การพิจารณาโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ วงเงิน 2.25 หมื่นล้านบาท ตามที่กองทัพเรือเสนอ

โดยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธาน กมธ.งบประมาณฯ ได้ชี้แจงว่า จากการพูดคุยกับ กมธ.หลายพรรคการเมืองต่างมีความเห็นตรงกันว่า เรือดำน้ำ 3 ลำ มีความจำเป็น โดย 3 ลำ ถือเป็นการดำเนินการแบบประหยัดที่สุดแล้ว เพราะประเทศไทยมีชายแดนติดทะเลหลายพันกิโลเมตร และยังมีพื้นที่ซับซ้อนทางทะเลที่ต้องดูแลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ แต่เมื่อเรือดำน้ำ 2 ลำได้ผ่านงบประมาณฯปี 2563 ไปแล้ว แต่ด้วยความปรารถนาดี เห็นแก่เศรษฐกิจของประเทศ จึงได้นำเงิน 3,925 ล้านบาท คืนให้รัฐบาลเพื่อมาแก้ไขปัญหาโควิด

ก่อนที่ในปี 2564 จะตั้งงบคืนให้เพื่อจัดซื้อตามกระบวนการ แต่พอปี 2564 ปรากฏว่าโควิดก็ยังไม่คลี่คลาย แม้ กมธ.จะเห็นความจำเป็นแต่ก็ยังไม่เหมาะในปีนี้ เพราะสถานการณ์โควิดยังไม่มีช่องทางในการได้วัคซีน และอาจจะมีการระบาดระลอก 2 เกิดขึ้น จึงได้พยายามขอให้กองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม และรัฐบาลพูดคุยเพื่อขอเลื่อนการจ่ายเงินงวดแรก 3,925 ล้าน วันนี้จึงมาแจ้งข่าวดี โดยกองทัพเรือได้ทำหนังสือแจ้งมาถึงผม ในฐานะประธาน กมธ.ว่ากองทัพเรือยินดีให้ปรับงบประมาณ จำนวน 3,925 ล้านบาท

ในส่วนที่จะต้องไปจ่ายออกไปก่อนให้เป็นศูนย์ และให้กองทัพเรือไปใช้งบประมาณในปีถัดไปตามเห็นสมควร และให้กองทัพเรือไปเจรจากับทางผู้ผลิตว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไร ในการทำให้ประเทศไทยมีเรือดำน้ำตามความประสงค์ ปีนี้เลื่อนงบประมาณงวดแรกในการจ่ายเรือดำน้ำออกไป กองทัพเรือได้มีหนังสือแล้ว ส่วนเงินที่ปรับออกไปนั้น คงเป็นหน้าที่ของหน่วยรับงบประมาณและสำนักงบประมาณจะไปพิจารณาว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อะไร

 

มติเอกฉันท์63เสียงคว่ำเรือดำน้ำ

ทั้งนี้ ก่อนลงมติตามญัตติที่นายสันติเสนอ นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย และนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ขอใช้สิทธิอภิปราย โดย นพ.เอกภพกล่าวว่า กมธ.ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกลไม่ได้คุยกับนายสันติตามที่มีการกล่าวอ้าง และพรรคก้าวไกลยืนยันว่าเราไม่เห็นความสำคัญในการจัดซื้อเรือดำน้ำ และไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนออกไปเพียง 1 ปี เพราะไม่น่าจะเป็นประโยชน์

เพราะสถานการณ์โควิดก็ยังไม่สิ้นสุดภายใน 1 ปีจากนี้ ขณะที่นายพิจารณ์ได้สอบถามต่อที่ประชุม และตัวแทนสำนักงบประมาณว่าปีงบประมาณ 2565 จะมีการพิจารณางบประมาณในส่วนเรือดำน้ำใหม่หรือไม่อย่างไร หรืองบประมาณส่วนนี้จะตกไปและกองทัพเรือต้องตั้งงบประมาณเข้ามาใหม่หรือไม่

และแนวทางของ กมธ.วิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณในปีหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป ด้านนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผอ.สำนักงบประมาณ ชี้แจงว่า รายการเรือดำน้ำที่มีการอนุมัติตั้งแต่ 2563 ส่วนการดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 จะต้องรอความชัดเจนจากกองทัพเรือว่าได้มีการเจรจากับทางผู้ผลิตอย่างไร เพื่อทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในปีต่อๆ ไป

กระทั่งที่สุด ที่ประชุม กมธ.งบประมาณฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 63 ต่อ 0 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง เห็นด้วยกับการปรับลดงบประมาณ 3,925 ล้านบาท ตามที่นายสันติเสนอ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image