ดูเหมือนว่าการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับวันยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาถึงฝีมือด้าน
การบริหารงานว่าจะสามารถปฏิรูปได้จริงดังเช่นที่เคยให้ความหวังไว้กับคนไทย เมื่อครั้งทำรัฐประหารได้จริงหรือไม่
เพราะอย่างปัญหาการจ่ายเงินให้ผู้สูงอายุ และคนพิการ ล่าช้าจากปกติเงินจะออกทุกวันที่ 10 แต่เดือนกันยายน 2563 เกิดปัญหาเงินออกล่าช้า
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้ ถ้าภาครัฐเอาใจใส่ เข้าใจถึงความลำบากของประชาชนกลุ่มนี้
แม้ว่าเงินเดือนละไม่กี่ร้อยบาท อาจจะไม่มากสำหรับใครบางคน แต่เงินก้อนนี้สำหรับผู้สูงวัยและผู้พิการอีกจำนวนมาก จะช่วยให้มีอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทั้งตัวเองและคนในครอบครัวได้อีกหลายชีวิต
ที่สำคัญเงินจำนวนดังกล่าว นอกจากออกล่าช้าแล้วยังไม่มีคำเตือนล่วงหน้าอีกต่างหาก
ความจริงถ้ามีปัญหา แต่มีการเตือนล่วงหน้า หรือถ้าเริ่มเห็นสัญญาณหรือแนวโน้มว่าจะเกิดปัญหาแล้วเตือนโดยเร็ว ความเสียหายจะไม่รุนแรงมากนัก
เพราะจะสามารถเตรียมรับมือ เช่น หาทางหยิบยืมล่วงหน้า หรือถ้าต้องนำเงินก้อนนี้ไปชำระหนี้ จะได้แจ้งเจ้าหนี้ให้ทราบล่วงหน้าได้
แต่นี่นอกจากไม่แจ้งล่วงหน้าแล้ว ยังเป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากอีกจนได้
ทำไมทีเงินเดือนข้าราชการ เจ้านายใหญ่โตถึงไม่เลื่อนบ้างล่ะ หรือว่าเงินของผู้สูงอายุและคนพิการไม่สำคัญเท่าเงินของพวกท่านเหล่านั้น
เหตุผลที่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างว่า เป็นช่วงสิ้นปีงบประมาณ ช่วงเดือนกันยายนของทุกปี จะต้องมีการปรับปรุงทะเบียนคนกลุ่มนี้ จึงทำให้ล่าช้า
พูดแบบนี้ดูเหมือนยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง เพราะการอ้างเหตุผลแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลบิ๊กตู่ ประกาศจะปฏิรูปประเทศ จะบริหารงานแบบ “นิว นอร์มอล” แล้วเป็นไง
สิ่งสำคัญตอนนี้ เมื่อคนสูงวัยและคนพิการจำนวนมากกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหลาย ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวง พม. กรมบัญชีกลาง กระทรวงมหาดไทย จะต้องเร่งช่วยเหลือคนกลุ่มนี้โดยเร็ว
ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ 22 กันยายน ที่ทางกรมบัญชีกลางบอกว่าคาดว่าเงินจะออก ควรจะเร่งเข้าไปสำรวจคนกลุ่มนี้ว่าจะสามารถหาเงินสำรองจากที่ไหนจ่ายให้ไปก่อนได้บ้าง
เพราะถ้ารอให้ถึงวันที่ 22 กันยายน อาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นกับคนกลุ่มนี้ที่เป็นกลุ่มเปราะบางของสังคมไทย
ระวังกรณีนี้จะกลายเป็นชนวนทำให้ผู้คนในสังคมต้องหันไปรวมตัวกันขับไล่รัฐบาลเพิ่มขึ้นก็เป็นได้
เพราะเท่าที่มีข้อสงสัยถึงปัญหาเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้น นับตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารงานเมื่อครั้งยึดอำนาจ ดูเหมือนปัญหาทำนองนี้จะถูกตั้งคำถามมาตลอด
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงมีการเคลื่อนไหวของเยาวชนและประชาชนทั่วประเทศแทบทุกหัวระแหงทุกจังหวัด ออกมาต่อต้านรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะคงมีคนเหลืออดกับปัญหาต่างๆ ที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ไม่ปฏิรูปการทำงานอย่างจริงจัง เป็นเพียงแค่ข้ออ้างให้ดูไพเราะเพราะพริ้ง แต่จริงๆ แล้ว ไปไม่ถึงไหน
แถมยังจ้องจะคุกคามกับคนเห็นต่างหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ปากบอกว่าไม่ แต่การกระทำสวนทางกัน จะเป็นการสร้างความเกลียดชังแตกแยกในสังคมไทยให้ถ่างกว้างขึ้นทุกวันมากขึ้นอีกหรือไม่
ล้วนเป็นคำถามตามมาว่า แล้วอย่างนี้ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในวันนี้ยังคงสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้
เห็นทีพอจะเดาได้ว่า อนาคตรัฐบาลบิ๊กตู่คงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
แต่จะจบอย่างไร มันจบที่รุ่นเรา หรือจะมีใครมาสืบทอดอำนาจต่อไป อีกไม่นานเกินรอ คงได้เห็นกันแน่