‘ธนาธร’ ชี้การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ถึงเวลาสร้างสัญญาประชาคมใหม่พาสังคมไทยสู่ทางออก

เมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่อาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายในรายวิชา TU101 ให้กับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยในการบรรยายปีนี้ นายธนาธรได้เลือกบรรยายในหัวข้อ “อนาคตกับรัฐธรรมนูญ” โดยระบุตอนหนึ่งว่า เป็นที่น่าสนใจมาก ว่าหลังจากการใช้รัฐธรรมนูญมาได้ 3 ปี คนตระหนักถึงปัญหา และมีเสียงเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดังกระหึ่ม หลังการเลือกตั้งใหม่ๆ มีการผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่องโดยพรรคอนาคตใหม่และพรรคฝ่ายค้านต่างๆ วันนั้น เสียงของประชาชนยังไม่ดังเท่าวันนี้ เมื่อไม่มีแรงกดดัน สิ่งที่เราได้มาก็คือการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลลัพธ์คือรายงานหนึ่งฉบับเท่านั้นเอง

นายธนาธรกล่าวว่า แต่วันนี้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก ไม่ใช่แค่ต่อพรรคการเมืองนักการเมือง แต่มันคือการตัดสินอนาคตของประเทศ มันคืออนาคตของพวกเราทุกคนว่าตกลงเราจะเอาอย่างไร อำนาจจะถูกแบ่งอย่างไรระหว่างสถาบันทางการเมืองต่างๆ ให้เกิดความสมดุล ที่จะทำให้ทุกฝักฝ่ายยอมรับและเดินตามกติกานี้เพื่อพาสังคมไปข้างหน้าร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าชนชั้นนำจะไม่ยอมให้สภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนเกิดขึ้น ชนชั้นนำจะไม่ยอมให้ประชาชนเขียนกฎหมายด้วยตัวเองแน่ๆ เพราะถ้าปล่อยให้ประชาชนตรากฎหมายขึ้นมาเอง พวกเขากลัวว่าประชาชนจะไปตรากฎหมายที่ไปดึงอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของชนชั้นนำออกไป จึงต้องมีองค์กรหนึ่งไว้เพื่อประกันไว้ว่าผลประโยชน์ของชนชั้นนำจะไม่ได้รับผลสะเทือนใดๆ

Advertisement

“แต่จะอย่างไรก็ดี การมี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเกิดให้ได้ หากเราต้องการประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ มีศักดิ์ศรีและเสรีภาพเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง คนทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหาย มีนิติรัฐ-นิติธรรม กลไกการใช้อำนาจ องค์กรต่างๆ ทั้งสามองค์กรมีการถ่วงดุลตรวจสอบกันอย่างสมดุล ไม่ให้องค์กรใดหนึ่งใช้หรือมีอำนาจเกินกว่าองค์กรอื่น นี่คือสังคมปกติในโลก การเรียกร้องอย่างนี้ไม่ใช่ชังชาติแน่ๆ นี่คือการเรียกร้องให้ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองที่อนุญาตให้ประเทศไทยไปต่อได้เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้น การจะได้มาซึ่ง ส.ส.ร. ที่ประชาชนเลือกขึ้นมาเองเป็นเรื่องสำคัญมาก และแพ็กเกจนี้จะได้มายากมาก เพราะประวัติศาสตร์มันบอกเราอย่างนั้น นับตั้งแต่ 2475 มา ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ ถ้าสิ่งต่างๆ การรัฐประหารแก้ปัญหาประเทศไทยได้ก็คงจะเจริญกว่าทั้งโลกไปแล้ว ประเทศที่กฎหมายสูงสุดหรือข้อตกลงหนึ่งใช้ได้แค่ 4 ปี นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งเฉลี่ยนคนละ 2.6 ปี รัฐประหารทุกๆ 6 ปี เวลาเราพูดว่าเราต้องการประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน นี่มันปกติมากในระดับนานาชาติ คุณไปพูดในประเทศอื่นที่เจริญแล้วมันเป็นเรื่องปกติ แต่คนต่างประเทศเขางง ว่าทำไมพูดเรื่องนี้ในประเทศถึงโดนจับเข้าคุก โดนยัดคดี โดนยัดข้อหาให้” นายธนาธรกล่าว

นายธนาธรกล่าวอีกว่า เรามักจะเห็นภาพว่าประชาธิปไตยคือการต่อสู้กับทหาร การต่อสู้กับนักการเมืองเลว การสร้างการเมืองที่ตั้งอยู่บนคุณธรรม และมักจะมาพร้อมกับคำว่าเราคนดีอย่าไปยุ่งเรื่องการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องสกปรก นี่คือคำพูดที่เขาหลอกพวกเรามาตลอด จริงๆ แล้ว ประชาธิปไตยคือหลักการที่เชื่อในศักยภาพของผู้คน และเชื่อในสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน การเมืองเป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ในการจัดสรรเรื่องทรัพยากร จะออกกฎหมายให้ LGBT หรือไม่ จะเอาเรือดำน้ำหรือไม่ ถนนหนทางไฟสว่างพอหรือไม่ เป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น เวลาพวกเขาบอกว่าเราไม่ต้องสนใจการเมืองแล้วเรายอมตาม ผลก็คืออำนาจจะอยู่ในมือพวกเขา อยู่กับกลุ่มชนชั้นนำ-อภิสิทธิ์ชนที่ผูกขาดอำนาจไว้ ไม่ยอมจัดสรรแบ่งสรรอำนาจให้ประชาชน

“ถ้าไม่อยากให้อนาคตเดินซ้ำรอย ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ชั่วโมงนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในประวัติศาสตร์ ในการพูดถึงปัญหาเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ด้วยความมาดร้ายพยาบาท แต่ด้วยความเชื่อว่าสังคมไทยหาทางออกร่วมกันได้อย่างสันติโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ด้วยสัญญาประชาคมและข้อตกลงใหม่ที่อยู่ร่วมกันได้ นั่นเป็นทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่ของสังคม และถ้าอยากได้อนาคตทางออกแบบนั้น มีอยู่ทางเดียวคือใช้สิทธิและหน้าที่ของเราในฐานะพลเมือง ในการต่อสู้เรียกร้องให้ได้ข้อตกลงที่เป็นของประชาชนทุกคนร่วมกัน” นายธนาธรกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image