“ธนาธร” ยัน ออกมาชุมนุมมากที่สุด ให้ผู้มีอำนาจได้ยิน คือทางเดียวเปลี่ยนการเมืองอย่างสันติ

“ธนาธร” ยัน ออกมาชุมนุมให้มากที่สุด ส่งเสียงให้ผู้มีอำนาจได้ยิน คือทางเดียวเปลี่ยนแปลงการเมืองอย่างสันติ

เมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดเสวนาเนื่องในวาระครบรอบ 60 ปี ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ จัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อ “ประเทศไทยในทศวรรษหน้า” มีวิทยากรร่วมรายการ 3 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า

ด้านนายธนาธร กล่าวว่า ตนเองมีความฝันอยากเห็นประเทศไทยในอีก 10ปีข้างหน้า ในด้านการเมืองอยากเห็นการเมืองที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุด อยากเห็นรัฐธรรมนูญที่เป็นที่ยอมรับของคนทุกฝ่าย อยากเห็นการถ่วงดุลกันอย่างมีประสิทธิภาพของฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ประเทศที่บังคับใช้กฎหมายเท่าเทียม

ในด้านเศรษฐกิจ อยากเห็นประเทศไทยเปิดกว้างพร้อมรับการแข่งขัน ทรัพยากรของประเทศถูกใช้ไปกับการดูแลคนส่วนใหญ่ ไม่ผูกขาดไว้สำหรับคนไม่กี่ตระกูล อยากเห็นการคมนาคมที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงการเดินทางด้วยต้นทุนที่ต่ำ บริการดี อยากเห็นการเอางบของรัฐมาสร้างสวัสดิการที่ดี คนหนุ่มสาว เลือกเดินเส้นทางอาชีพ การทำมาหากิน ที่เขาสร้างเองได้ แม้ล้มเหลวก็มีสวัสดิการรองรับ คนเกษียณอายุ ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ไม่ต้องกังวลจะเป็นภาระลูกหลาน  อยากเห็นการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ทำด้วยเทคโนโลยีของคนไทยเอง ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีต่างชาติ แข่งขันได้ระดับโลก ด้วยแบรนด์คนไทยเอง

ด้านวัฒนธรรมอยากเห็นการสร้างวัฒนธรรมที่โอบรับความหลากหลาย ทั้งเรื่องทางเพศ ความคิด ความเชื่อ  วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ อยากเห็นการศึกษาที่ตั้งอยู่บนความเชื่อใจของคนที่เกี่ยวข้อง มากกว่าตั้งบนกฎระเบียบและการทำโทษ อยากเห็นการศึกษาที่ให้อิสระ เรียนที่อยากเรียน มากกว่าท่องจำ สอนให้คนเชื่อมั่นในความคิด มั่นใจในตัวเอง คนเหล่านี้จะพัฒนาประเทศได้ มากกว่าการศึกษา ที่ตั้งบนระบบอาวุโส ระบบเจ้ายศเจ้าอย่าง อยากเห็นการพัฒนาประเทศที่ตระหนักว่าทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด อย่าดึงอนาคตลูกหลานมาใช้ เรามีหน้าที่ต้องส่งต่อโลกที่ดี สวยงาม ให้คนรุ่นต่อไป ต่อสู้กับภาวะโลกร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ อยากเห็นสวนสาธารณะที่เพียงพอ อากาศที่ดีให้ทุกคนหายใจ ในด้านต่างประเทศ อยากเห็นประเทศไทยยืนสง่าบนอาเซียน อยากเห็นไทยเป็นต้นแบบสิทธิมนุษยชน เป็นต้นแบบการพัฒนาระดับนานาชาติ โดยไม่ยึดติดกับวิธีคิดพรมแดนในปัญหาต่างๆ ไทยสามารถเป็นผู้นำอาเซียน มีบทบาทแข็งขันในการแก้ปัญหาระดับนานาชาติ

Advertisement

“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับการที่คนฟันจะพูดแบบนี้ ในประเทศนี้ ในเวลานี้ คือการที่ผมถูกกล่าวหาว่าชังชาติ ทั้งที่สิ่งที่พูดมาทั้งหมด ไม่ใช่ความฝันของผมคนเดียว แต่เป็นความฝันของคนหลายล้านคน ผมเชื่อว่าไทยมีศักยภาพที่จะนำประเทศไปถึงจุดนั้นได้ การทำงานการเมืองสองปีที่ผ่านมา ผมได้เป็นกมธ.งบประมาณสองปี ผมเห็นปัญหาการจัดการงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่เราสามารถจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้ได้ แต่เราไปถึงจุดที่เราฝันถึงประเทศไทยที่เราต้องการไม่ได้ ถ้าเราไม่แก้ปัญหาการเมือง 14ปีจากการทำรัฐประหาร 2549 เราเห็นการปิดเมือง สถานที่ราชการ สนามบิน ทำเนียบ สี่แยกเศรษฐกิจ การบอยตอตการเลือกตั้ง การล้อมปราบการชุมนุม การยุบพรรคการเมืองหลายพรรค ตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน ชาติไทย จนถึงอนาคตใหม่ มีการเขียนรัฐธรรมนูญสองครั้ง เห็นการเอางบประมาณประเทศมาเอื้อทุนใกล้ชิดค้ำยันอำนาจตัวเอง ถ้าเรายอมแบบที่เกิดขึ้น 14 ปีที่ผ่านมา ความฝันที่เราอยากเห็นเป็นไปไม่ได้เลย”

“ดังนั้น วันที่ 19 กันยา คือโอกาส ที่เราจะกันกลับไปมองว่าเราทำอะไรกันมาบ้าง ทุกฝ่ายมีส่วนทำประเทศมาถึงตรงนี้ทั้งนั้น บทบาทที่เราทำมา 14 ปี มันทำประเทศถึงทางตัน มันไม่สายเกินไปที่จะต้องมาตั้งต้นกันใหม่ แล้วพาสังคมไปข้างหน้า เพื่อให้สิบปีที่จะถึงไม่เหมือน 14 ปีที่ผ่านมา เรายังมีโอกาส แม้ประตูมันใกล้จะปิดแล้ว ถ้าจะทำเช่นนี้ได้ ขั้นแรกสุดต้องหยุดระบอบประยุทธ์ให้ได้ นี่คือขั้นแรก ต้องหยุดระบอบประยุทธ์ที่อยู่ในรูป รธน.2560 แต่อย่าเข้าใจผิด ต่อให้แก้รธน.ได้ แล้วทุกอย่างจะจบ แก้รัฐธรรมนูญแค่บันไดก้าวแรก ยังมีสิ่งอีกเยอะ ที่เราจะต้องไม่ทำให้ซ้ำรอบ 88 ปีประชาธิปไตยไทย เราไม่แปลกใจบ้างหรือ ไทยมีนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ที่มาจากการเลือกตั้งแล้วอยู่ครบเทอม เราต้องปฎิรูประบบราชการรวมศูนย์ คืนอำนาจ งบประมาณให้คนต่างจังหวัดมีอำนาจตัดสินใจ ต้องปฎิรูปกองทัพ ทำให้กองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ปฎิรูปกระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระทั้งหมด ยกเลิกการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ให้ผู้ประกอบการได้แข่งขันกัน”

“ผมไม่เชื่อสภาอีกแล้ว ว่าจะนำการเปลี่ยนแปลง เราไม่เห็นเจตนาอันแรงกล้าของรัฐสภา ในการจะพาสังคมไทยไปข้างหน้า และหลุดจากความขัดแย้ง ส่วนตัววิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรง อาจจะขัดต่อจิตสำนึกนิดหน่อย แต่คือออกไปชุมนุมให้มากที่สุด ที่พูดแบบนี้ เพราะการไปชุมนุมให้มากที่สุด จะเป็นแบบที่คุณอภิสิทธิ์เสนอว่า หวังว่าผู้มีอำนาจจะเปิดโต๊ะ เปิดใจพูดคุยกันถึงอนาคตที่เราอยากเห็น กฎกติกาที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน ทุกคนเคารพกติกานั้น จะทำให้เป็นแบบนั้นได้ มีแต่การส่งเสียงของประชาชนว่าเราจะไม่ทนอีกแล้วกับสังคมแบบนี้ การชุมนุมอย่างสันติ ปราศจากความุรนแรง การใช้อาวุธ นี่คือเครื่องมือที่ประชาชนจะสร้างอำนาจต่อรอง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง อย่างสันติ หลีกเลี่ยงการรุนแรงได้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image