‘ศรีสุวรรณ’ ยื่นกกต.ทบทวนมติกู้ยืม 31 พรรค ส่งศาลรธน.ตีความ แฉหลายพรรคกู้เงินเกิน 10 ล้าน

‘ศรีสุวรรณ’ ยื่นกกต.ทบทวนมติกู้ยืม 31 พรรค ส่งศาลรธน.ตีความ แฉหลายพรรคกู้เงินเกิน 10 ล้าน

“ศรีสุวรรณ” ยื่น กกต. ทบทวนมติเงินกู้ยืม 31 พรรคการเมือง ส่งศาลรธน.ตีความ แฉ “ภูมิใจไทย-เพื่อไทย –ประชากรไทย” กู้-สำรองเงินจากกรรมการเกิน 10 ล้านบาท ขู่หากไม่พิจารณาใหม่จะร้อง ป.ป.ช.เอาผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 23 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องให้นายทะเบียนพรรคการเมือง สำนักงานกกต. ทบทวนความเห็นกรณียุติเรื่องการตรวจสอบว่าพรรคการเมืองจำนวน 31 พรรคการเมือง ที่มีการกู้ยืมเงินมาใช้ในกิจการของพรรคการเมือง เป็นการกระทำหรือนิติกรรมที่ขัดหรือยังต่อมาตรา 62 ประกอบมาตรา 72 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และขอให้ 7 กกต.มีมติส่งกรณีเงินกู้ของ 31 พรรคการเมืองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณกล่าวว่า การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองยุติเรื่องตรวจสอบดังกล่าว โดยอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยที่ 5/2563 ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวชี้ชัด ว่าการกู้ยืมเงินมาใช้ในกิจการของพรรคการเมือง เป็นการกระทำหรือนิติกรรมที่ไม่ปรากฏในมาตรา 62 ประกอบมาตรา 72 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ชี้ชัดถึงขนาดนี้แล้ว แต่เหตุใดนายทะเบียนพรรคการเมืองจึงรีบตัดตอน ไม่นำความดังกล่าวรายงานให้ กกต.เพื่อมีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นกระบวนความตามครรลองของกฎหมาย เหตุใดจึงกล้าที่จะวินิจฉัยเอาเสียเอง เช่นนี้จะถือว่าชอบด้วยกฎหมายได้อย่างไร

นายศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า หากจะบอกว่ายุติเรื่องตรวจสอบดังกล่าว เพราะกู้เงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ต่อคน ต่อปี นั้น ตามคำร้องของสมาคมฯปรากฏชัด ว่ามีพรรคการเมืองแสดงรายรับเกินกว่า 10 ล้านบาทต่อคน โดยใช้คำว่าเงินสำรองจ่ายจากกรรมการแทนคำว่าเงินกู้ คือ พรรคภูมิใจไทย มีเงินทดรองจ่ายจากกรรมการ 30,164,287 บาท พรรคเพื่อไทย มีเงินสำรองจ่ายจากกรรมการ 13,000,000 บาท และพรรคประชากรไทย มีเงินทดรองจ่าย 12,845,239 บาท ดังนั้น จึงขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทบทวนความเห็น และให้ 7 กกต. มีมติส่งกรณีเงินกู้ของ 31 พรรคการเมืองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าเป็นการกระทำหรือนิติกรรมที่ขัดหรือแย้งมาตรา 62 ประกอบมาตรา 72 และมาตราอื่นๆ หรือไม่

Advertisement

เมื่อถามว่า จะให้ตรวจสอบเพียง 3 พรรค ที่ระบุว่ามีการกู้เกิน 10 ล้านบาทใช่หรือไม่ นายศรีสุวรรณกล่าวว่า จะต้องมีการตรวจสอบทั้ง 31 พรรค ซึ่งตนเองได้เทียบเคียงว่าหากจะมีการกู้ยืมเงิน เกิน 10 ล้านบาทต่อคน ต่อพรรค ก็ยังมี 3 พรรคที่กู้เงินเกิน 10 ล้านบาท แต่ทั้ง 31 พรรค กกต.ควรสรุปเรื่องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐาน ซึ่ง กกต.ไม่ควรจะวินิจฉัยเอง เพราะคำวินิจฉัยของ กกต.ไม่ได้เป็นบรรทัดฐาน ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งในอนาคต หรือหลังจากนี้ไปจะเกิดกรณีเช่นนี้อีก มีการบริหารการใช้จายเงินของพรรคไม่เป็นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 62 ที่กำหนดว่าการหารายได้ของพรรคการเมืองจะต้องมาจาก 7 ช่องทาง

เมื่อถามย้ำว่า พรรคจะกู้เงินไม่ได้เลยใช้หรือไม่ นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะกู้มาเพียงใดก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการนำเงินมาใช้ในกิจการพรรคการเมืองที่ไม่เป็นไปตามมาตรา 62 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งกำหนดไว้เพียง 7 ข้อ ที่การกู้เงินไม่ได้อยู่ใน 7 ข้อ

ดังนั้นการที่ใครก็แล้วแต่อยากจะลุกขึ้นมาเพื่อจัดตั้งหรือทำงานพรรคการเมือง ควรจะมีเงิน ควรจะหาเงินในกรอบเฉพาะ 7 ข้อเท่านั้น ไม่ควรใช้วิธีการอื่น” นายศรีสุวรรณกล่าว และว่า หลังจากการยื่นคำร้องให้ กกต.ทบทวนวันนี้ หากยังเพิกเฉยก็จะเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตนก็จะนำเรื่องนี้ไปร้อง ป.ป.ช.เพื่อส่งเรื่องให้อัยการฟ้องศาลฎีกาต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image