‘ธนาธร’ ร่วมเวที Oslo Freedom Forum 2020 ยก ปวศ.100 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อ ปชต. หวังจบในรุ่นเรา

‘ธนาธร’ ร่วมเวที Oslo Freedom Forum 2020 ยกประวัติศาสตร์ 100 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หวัง ‘จบในรุ่นเรา’

เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้รับเกียรติร่วมเป็นวิทยากรในเวที Oslo Freedom Forum ประจำปี 2020 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 และ 25 กันยายน 2563 ในฐานะเวทีภาคประชาสังคมระดับนานาชาติ ที่ขับเคลื่อนในประเด็นที่เกี่ยวกับสถานการณ์ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนทั่วโลก โดยในปีนี้เป็นการจัดในรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19

วิทยากรรับเชิญในการประชุมปีนี้ นอกจากนายธนาธรแล้ว ยังมีบุคคลที่เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนคนสำคัญจากทั่วโลก เช่น นาธาน ลอว์ นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยชาวฮ่องกง ที่อยู่ระหว่างการลี้ภัยหลังการปราบปรามโดยรัฐบาลจีน, มาซีฮ์ อะลีนยาด นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีอิหร่าน, ลยุดมีล่า ซาฟชัค นักข่าวสืบสวนชาวรัสเซีย, โมฮัมเหม็ด นากี อลัสซาม แพทย์และนักกิจกรรมประชาธิปไตยชาวซีเรีย, ฟาตู ทูฟา จัลโลว นักเคลื่อนไหวต่อต้านการข่มขืนชาวแกมเบีย, พักอึนฮี ผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือ, คริสโตเฟอร์ บัลด์ดิ้ง นักวิชาการจีนศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินโลก, แอเรียล รุอิส เออร์ควิโอล่า นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางเพศชาวคิวบา, ไบรอัน โฟเกล ผู้กำกับภาพยนตร์รางวัลออสการ์, และ ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลไต้หวัน

โดยในส่วนของนายธนาธร ได้ขึ้นพูดถึงสถานการณ์ในประเทศไทย และความคาดหวังต่ออนาคต ในหัวข้อ “การสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย : 100 ปีแห่งการต่อสู้” โดยกล่าวเริ่มต้น ว่าตนเกิดในปี 2521 ตอนที่อายุได้เพียงแค่ 13 ขวบ ก็ได้เจอกับการรัฐประหารครั้งแรกในชีวิตแล้วในปี 2534 การปราบปรามโดยกองทัพเกิดขึ้นหลังจากนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 44 ราย ที่ยืนยันตัวตนได้ และมีผู้บาดเจ็บอีกนับพัน ทั้งยังคงมีผู้สูญหายอีกเป็นจำนวนมาก

Advertisement

นายธนาธรกล่าวว่า เมื่อตนอายุได้ 28 ปี ก็ยังต้องมาเจอกับการรัฐประหารอีกเป็นครั้งที่สองในปี 2549 มันคือการรัฐประหารที่เป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างคนไทยด้วยกันอย่างรุนแรง ระหว่างคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงในเวลาต่อมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นหลายเหตุการณ์ ได้นำไปสู่การปราบปรามโดยกองทัพอีกครั้งในปี 2553 ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 99 คน บาดเจ็บอีกนับพัน โดยยังไม่มีผู้เกี่ยวข้องคนใดต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาจนถึงวันนี้

นายธนาธรกล่าวอีกว่า ต่อมาตนก็ได้เจอกับการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน นับจากวันนั้นมา คณะรัฐประหารได้ทำการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงเข้าควบคุมการนำเสนอของสื่อมวลชนอย่างเข้มงวดและกว้างขวาง กดทับผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง และทำเศรษฐกิจของประเทศพังพินาศเพียงเพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย ใครก็ตามที่แสดงออกคัดค้านถ้าไม่ถูกจำคุกก็ต้องลี้ภัยโดยจำใจ คณะรัฐประหารยังได้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาประกาศใช้ในปี 2560 เพื่อเป็นกลไกรับรองการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ผ่านการเลือกตั้ง และเมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 พร้อมใช้งาน คณะรัฐประหารถึงยอมให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น และจัดการเลือกตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 2562

Advertisement

นายธนาธรยังกล่าวต่อไปว่า เป็นเวลากว่า 100 ปีแล้วที่ประเทศไทยพยายามที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นมา นับตั้งแต่ความพยายามครั้งแรกของกบฏหมอเหล็ง ที่ต้องการยุติระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในปี 2455 แต่ก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ อีก 2 ทศวรรษให้หลัง คณะราษฎรนำจึงกำลังยึดอำนาจจากกษัตริย์ได้สำเร็จ และสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่ได้ยอมแพ้แต่โดยดี ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาประวัติศาสตร์ของประเทศไทยวนเวียนอยู่กับการต่อสู้ระหว่างประชาชนผู้ไม่ยอมจำนนกับกลุ่มชนชั้นนำไม่กี่กลุ่ม

“ประจักษ์พยานของการต่อสู้นี้ชัดแจ้ง ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นมากที่สุดในโลก 88 ปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราผ่านการรัฐประหารมาแล้ว 13 ครั้ง หรือเฉลี่ยทุกๆ 6.7 ปี จะเกิดการรัฐประหารขึ้นหนึ่งครั้ง ในรอบ 88 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมาแล้วทั้งหมด 29 คน และมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยเพียงคนเดียวที่อยู่ในวาระครบ 4 ปี เรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ นั่นแปลว่าเราไม่เคยหาข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันและก้าวไปข้างหน้าร่วมกันในฐานะสังคมได้เลย เราไม่เคยมีข้อตกลงร่วมที่เรายอมรับกันได้จริงๆ เลย ว่าเราจะแบ่งสรรอำนาจกันระหว่างสถาบันทางการเมืองต่างๆ อย่างไร

“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องบอกว่าพอกันที เราจะต้องหยุดวงจรอุบาวท์ของการรัฐประหาร การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การเลือกตั้ง และการมีประชาธิปไตยเพียงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า วงจรอุบาวท์นี้จะต้องจบที่รุ่นเรา ในอนาคตจะต้องไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก เราจะต้องสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนขึ้นมาให้ได้ ลูกหลานของเราควรจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ นายธนาธรกล่าว

นายธนาธรยังกล่าวต่อไปอีกว่า ภายใต้บริบทเช่นนี้เอง ที่ตนตัดสินใจลาออกจากอาชีพทางธุรกิจ และเข้าสู่สนามการเมือง ตอนที่เกิดการรัฐประหารปี 2557 ตนอายุได้ 36 ปี เป็นผู้บริหารในธุรกิจของครอบครัว ตนมีชีวิตที่ดีและสุขสบาย แต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงความสุขที่แท้จริง อย่างที่ทุกคนเห็น ทุกภาคส่วนของประเทศไทยถูกผูกขาดโดยตระกูลไม่กี่ตระกูล ที่สะสมความมั่งคั่งจำนวนมหาศาลโดยไม่ต้องสร้างนวัตกรรมอะไรเพื่อรับใช้สังคม พวกเขาสะสมความมั่งคั่งโดยอาศัยอภิสิทธิ์ที่ได้จากรัฐบาล หรือการวิ่งเต้นให้รัฐบาลคงกฎหมายที่เอื้อต่อสถานะผูกขาดของพวกเขาไว้

นายธนาธรกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ที่พุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของโลก จากตัวเลขของ Credit Swiss ที่ทำการสำรวจในปี 2561 กลุ่มคนที่รวยที่สุด 1% ครอบครองความมั่งคั่งของทั้งประเทศอยู่ถึง 67% นี่คือที่มาว่าทำไมประเทศไทยจึงมีความเหลื่อมล้ำยอดแย่ที่สุดในโลก กลุ่มทุนขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติกับคณะรัฐประหาร พวกเขาให้การสนับสนุนระบอบทหารในอดีตมานับไม่ถ้วน และยังคงสนับสนุนระบอบอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้


“แน่นอนว่า คนรวยทั้งหลายสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายพร้อมความนิ่งเฉยได้ พวกเขาสามารถส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนที่สหรัฐหรืออังกฤษ หน้าหนาวมาถึงก็ไปเล่นสกีที่ฮอกไกโด ส่วนหน้าร้อนก็ไปนั่งจิบไวน์ที่ยุโรป แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือกที่จะอยู่นิ่งเฉยเช่นนั้นได้ การยอมจำนวนคือการยอมให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขากัดฟันดิ้นรนทางเศรษฐกิจอย่างแสนสาหัส เพียงเพื่อให้ได้ส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนดีๆ คนจนในประเทศนี้ ต่อให้ทำงานวันละ 10 ชั่วโมงทุกวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 40 ปี ก็ยังแทบจะไม่มีปัญญาซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้ หรือจะมีเงินเก็บไว้ใช้ในวัยเกษียณก็ยังทำไม่ได้ นั่นก็เพราะผลพวงของการเติบโตทางเศรษฐกิจกลับตกไปอยู่ในมือของคนส่วนน้อย ไม่ใช่คนส่วนใหญ่”
นายธนาธรกล่าว

นอกจากนี้ นายธนาธรได้กล่าวถึงบุคคลสำคัญที่เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมา ทั้ง นายนวมทอง ไพรวัลย์, นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, นายอานนท์ นำภา, และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” พร้อมกับเล่าประวัติการต่อสู้และเชิดชูบุคคลเหล่านั้น ก่อนที่จะระบุว่า นี่คือพวกเราชาวไทยที่กำลังนำพาการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทยวันนี้ นี่คือเหล่าผู้ที่เชื่อว่าประเทศไทยสามารถเป็นโคมไฟส่องแสงแห่งความหวังไปยังผู้คนที่ต้องตกเป็นเหยื่อภายใต้ระบอบเผด็จการในหลายๆ ประเทศอาเซียนได้

นายธนาธรกล่าวว่า บัดนี้ บทใหม่ของการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เยาวชนทุกกลุ่มในทุกที่ทั่วประเทศ ต่างจัดการชุมนุมขึ้นมานับร้อยๆ ครั้งเพื่อต่อต้านระบอบ เผด็จการ กลุ่ม LGBTQ ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเสมอภาคระหว่างเพศ นักศึกษามุสลิมลุกขึ้นมาเรียกร้องความอดกลั้นต่อความแตกต่าง การยอมรับความหลากหลาย และการยกเลิกกฎหมายที่ละเมิดสิทธิของพวกเขา นักเรียนมัธยมลุกขึ้นมาเรียกร้องการยุติการคุกคามในโรงเรียน แม้จะมาจากต่างที่มา แต่พวกเขาเรียกร้องในสิ่งเดียวกัน นั่นคือการยุติวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ปกคลุมอยู่เหนือประเทศไทยมาเป็นเวลานานแล้ว

“ไม่เคยมีครั้งใดมาก่อนเลย ที่ประเทศเราจะมีขบวนการเคลื่อนไหว ที่ลุกขึ้นท้าทายอำนาจของชนชั้นนำทั้งในทางการเมืองและในทางวัฒนธรรม เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศแบบนี้ ด้วยขนาดที่ใหญ่โตเช่นนี้ ไม่เคยมีครั้งใดเลย ที่ไฟแห่งความหวังจะลุกโชนได้อย่างสว่างไสวเท่าทุกวันนี้ นั่นคือแรงผลักดันที่จะทำให้เรายืนหยัดต่อสู้ต่อไป จนกว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย

“ในการนี้ ผมขอฝากเรื่องราวของพวกเราไปสู่ทุกท่านทั่วโลก ที่กำลังต่อสู้เพื่อเป้าหมายเดียวกันกับพวกเรา ผมหวังว่าเรื่องราวของพวกเราจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกท่าน เหมือนดั่งเช่นที่กาต่อสู้ของพวกท่านได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเราเช่นกัน และผมขอฝากเรื่องราวของพวกเราไปสู่ทุกท่านที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ในระบอบประชาธิปไตย โปรดเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา อย่าให้ประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ของตายที่ได้มาฟรี จงต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยที่คุณมีอยู่ให้ดีที่สุด” นายธนาธรกล่าวปิดท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image