การทำความเข้าใจต่อรูปการแห่ง “รัฐบาลรวมพลังสร้างชาติ” โดยมูลฐานที่สุด ต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่าข่าวลือนี้ถูก “ปล่อย” ให้หลุดออกมาจากไหนและด้วยกรรมวิธีใด
เพียงเริ่มต้นด้วยรัฐบาลอันมีวลีที่ว่า “รวมพลังสร้างชาติ” ต่อท้ายก็สัมผัสได้ใน “กลิ่นอาย” อันมาพร้อมกับคำว่า “วิถีใหม่”
วิถีใหม่หรือ “นิว นอร์มัล” หลังสถานการณ์โพสต์-โควิด
เมื่อตามมาด้วยการที่จะนำเอาพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีจำนวนมากถึง 136 มาเสริมต่อสร้อยห้อยท้ายกับพรรคพลังประชารัฐที่มีเพียง 116 ส.ส.ก็แจ่มชัด
เป็นไปได้หรือที่พรรคเพื่อไทยอันมีเกียรติประวัติจากพรรคพลัง ประชาชน พรรคไทยรักไทย เคยเป็นรัฐบาลต่อเนื่องจาก นายทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จะยินดีเป็น “หางเครื่อง” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ต้องดูให้ออกว่ารากฐานอันแท้จริงของ “ข่าวลือ” นี้ปล่อยออกมาได้อย่างไร ผ่านกระบวนการใด
หากเริ่มต้นกระแสการต่อยอดจากดร.สานุศิษย์ “เปรตกู้” ประสานเข้ากับอดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็จะอ่านออกแทงทะลุ
คนเหล่านี้ล้วนอยู่ในเครือข่ายของ “ทิศทางไทย” อันแนบแน่นยิ่งกับพลัง “ประชารัฐ” ที่พัฒนามาเป็น “รวมไทยสร้างชาติ”
พลันที่ปิดท้ายด้วยคำทำนายจากโหรเชียงใหม่ ซึ่งนั่งทางในแนบแน่นอยู่กับฤาษีเกวาลันแห่งเทือกเขาหิมาลัยที่รับบทโยนหินถามทางให้กับคสช.มาอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าพรรคชาติ ไทยพัฒนาก็อ่านออก แทงทะลุว่า กระสวนแห่งข่าวปล่อยเหล่านี้ล้วนเพื่อเล่นบทเป็นคุณห้อยคุณโหนให้กับใคร
ใครกันเล่าที่ปรารถนาจะเห็น “รัฐบาลรวมไทยสร้างชาติ”
ไม่น่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าที่นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไม่ว่าที่นำโดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์
คำตอบสุดท้ายของเรื่องนี้จึงต้องทำความเข้าใจต่อสถานะและความ เป็นจริงในทางการเมือง
นี่คือสถานการณ์ต่างไปจากหลังเดือนพฤษภาคม 2557
คือสถานการณ์อันเป็นช่วง “ขาลง” และยากลำบากยิ่งที่จะลงได้อย่างงดงาม แม้จะพึ่งบริการ “รัฐบาลรวมพลังสร้างชาติ” ก็ตาม