คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : คุณแก้ทุกปัญหาได้ที่ตัวเองจริงหรือ?

ถ้าใครบอกว่าปัญหาใดก็ตามเป็นเรื่องเชิงโครงสร้าง หรือความลำบากเดือดร้อนในเรื่องนี้จะถูกแก้ไขให้ดีขึ้นได้ถ้าการเมืองดี หรือความเป็นอยู่ของตัวเขาและใครๆ จะดีขึ้นได้หากมีประชาธิปไตย คุณก็อาจจะพูดใส่หน้าหรือตอบความเห็นไปว่า

“ก่อนจะเรียกร้องจากรัฐบาล หรืออ้างว่าเป็นปัญหาสังคมนะ ได้หาทางแก้ไขที่ตัวเองแล้วหรือยัง?”

เมื่อพ่นพูดประโยคพรรค์นี้ออกมา คุณจะได้ไปอยู่ในสมัชชาแห่งผู้ชนะ เป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหารอบข้าง เพราะคุณนั้นแกร่งเก่ง มีกรอบคิดที่ดี รู้จักพัฒนาตัวเองใฝ่หาความรู้ ทำงานหนักด้วยความอดทนต่อเนื่องไม่ย่อท้อ คุณจึงมีวันแห่งความสำเร็จ ซึ่งแม้ว่าวันนี้จะยังไม่ใช่แต่ก็คงจะอีกไม่นาน

ตัวอย่างมากมายของผู้ที่ต่อสู้กับอุปสรรคโดยไม่ต้องมัวแต่หาข้ออ้างก็มีให้ดูให้ฟังกันมากมายใน Podcast YouTube และรายการสัมมนาเปิดวิสัยทัศน์ เรามีพยานหลักฐานมีชีวิตที่พิสูจน์ความคิดนี้มาแล้วทนโท่ ทั้งตำนานเรื่องคนตั้งธุรกิจพันล้านจากหนี้สิน สาวโรงงานเป็นผู้พิพากษา คนธรรมดากลายเป็นเศรษฐีเดินกระทบไหล่บรรดาอีลิตในสังคม

Advertisement

ปัญหาเชิงโครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำทางโอกาส อำนาจนิยมสังคมไม่ยุติธรรมเป็นแค่ข้ออ้างของพวกขี้แพ้หาข้ออ้าง เพราะรัฐบาลมันก็ไม่เห็นจะมีดีสักรัฐบาลเดียว เศรษฐกิจก็ไม่เห็นจะมีช่วงไหนที่ไม่มีใครบ่น ปัญหาเรื่องโรงเรียนและระบบการศึกษาก็เห็นผลิตคนเก่งๆ ฉลาดๆ ออกมาได้เรื่อยๆ แม้แต่พวก “นักเรียนเลว” ที่ออกมาเย้วๆ กันตอนนี้ ก็เป็นผลมาจากการศึกษาที่ว่าแย่ๆ นี้ไม่ใช่หรือ

คุณอาจจะคิดอย่างนั้น เรื่องเรื้อรังหลายอย่างในสังคมนั้นแก้ได้จริงถ้าเรามีเงินพอ นั่นทำให้เราจึงควรทำงานหนักเพื่อจะได้มีเงิน มีสิทธิอำนาจ หรือมีกำลังที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ถ้าเรามีรถยนต์ของตัวเองก็ไม่ต้องสนใจปัญหาขนส่งมวลชน ถ้าเราซื้อหมู่บ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยยอดเยี่ยมและสังคมเพื่อนบ้านที่ดี เราก็ไม่ต้องสนใจปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดในย่านนั้น ถ้าเรามีเงินพอหรือประกันสุขภาพที่จะไปโรงพยาบาลเอกชนได้เมื่อเจ็บป่วย มีเงินส่งลูกไปเรียนโรงเรียนเอกชนชั้นดีที่สุดเท่าที่จะส่งไหว เราก็ไม่ต้องสนใจปัญหาสาธารณสุขหรือการศึกษาเช่นกัน

นานวันเข้า เราทั้งหลายจึงช่วยกันสร้างสังคมที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว มนุษย์เราล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียรอันเป็นปัจเจก สร้างผู้คนที่หลับหูหลับตาทำงานอย่างหนักและแข็งขันเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเราคือคาถาที่ช่วยให้รอดไปจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ได้ผล แม้แต่คนที่เข้าใจเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำอันอธรรมและอำนาจนิยม ถ้าเลือกได้และมีกำลังพอ ก็ใช้ตัวเลือกแบบนั้นเช่นกัน ไม่เห็นมีใครยืนยันจะใช้หรือรอใช้ระบบรัฐสวัสดิการอะไรที่เรียกร้องนั่นเลย

Advertisement

แต่เหตุการณ์ที่เป็นข่าวสะเทือนใจเกี่ยวกับครูอนุบาลในโรงเรียนเอกชนเครือข่ายชื่อดังที่กระทำทารุณกรรมต่อนักเรียนตัวน้อยๆ วัยสามถึงห้าขวบที่แดงขึ้นมาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ก็เหมือนการตบหน้าให้นักแก้ปัญหาที่ตัวเองตื่นจากฝันลวงมาเจอฝันร้าย ยิ่งใครที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กวัยนี้หรือใกล้เคียงได้เห็นคลิปที่มาจากกล้องวงจรปิดแล้ว เชื่อว่าไม่โกรธแค้นอย่างหนัก ก็อาจจะจิตตกหรือร่ำไห้ด้วยคิดว่านั่นเป็นลูกหลานของตัว

ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่จะไม่มีข่าวเรื่องครูอาจารย์ลุแก่อำนาจจนทำร้ายเด็กนักเรียน แต่คุณก็คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับโรงเรียน “อีกระดับหนึ่ง” ไม่ใช่โรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงและมีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาปีละแสนกว่าบาท อย่างที่คุณได้เลือกแล้วที่จะกัดฟันส่งลูกไปเรียน สำหรับผู้ปกครองส่วนใหญ่ที่เป็นคนชั้นกลางเงินเดือนหลักหมื่นกลางแต่ไม่ถึงแสน กับค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ นั้นก็พอจะอดออมเจียดเงินเฉลี่ยเดือนละประมาณหมื่นกว่าบาทกันไว้เป็นค่าเทอมให้ลูกปีละสองครั้งได้แบบเกือบจะตึงมือ ที่คุณยอมจ่ายในราคานี้กันก็เพราะอยากได้โรงเรียนที่มีมาตรฐานการศึกษาที่ดีและมีความปลอดภัยในทุกด้านให้ลูก

แต่ภาพที่ได้เห็นกันทั่วโซเชียลนั้นยืนยันกับคุณว่า จ่ายเงินเท่านี้คุณก็ยังหนีสิ่งที่เคยคิดว่าเกิดขึ้นเฉพาะโรงเรียนที่คุณหลีกเลี่ยงได้ไม่พ้น แล้วคุณจะทำอย่างไร ส่งไปเรียนโรงเรียนที่แพงขึ้นไปอีกกระนั้นหรือ? หรือเรื่องนี้ไม่มีอะไรมาก แค่โชคร้ายว่ามีครูใจอำมหิตคนหนึ่งมารับหน้าที่ดูแลลูกหลานของคุณ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องโครงสร้างหรืออะไรเลย

สิ่งที่บ่งบอกชัดเจนว่านี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมอำนาจนิยม ก็คือการที่ครูคนอื่นในห้องนั้นที่ร่วมรู้เห็น แต่ก็ไม่มีใครคิดจะห้ามปรามหรือแจ้งผู้บริหาร ปล่อยให้ทำแบบนี้กับเด็กอยู่ได้เป็นเวลานาน และเมื่อผู้ปกครองนึกสงสัยมาตรวจสอบพบความจริงและจะเอาเรื่อง ก็ปรากฏว่าบรรดาเพื่อนครูร่วมโรงเรียนนั้นก็ออกมาแสดงตนช่วยเพื่อน บางคนถึงกับพยายามถ่ายคลิปผู้ปกครองผู้โกรธแค้นเหลืออดกลั้นที่แสดงท่าทีจะทำร้ายครูผู้ก่อเหตุ และปรากฏจากคลิปต่อๆ มา ว่าไม่ใช่เพียงครูคนนั้นคนเดียวที่กระทำทารุณต่อเด็กอีกด้วย

หรือแม้แต่เมื่อข่าวนี้แพร่หลายออกไป แม้ว่าภาพจะปรากฏทนโท่ออกอย่างนั้น ก็ยังคงมีบางคนที่ออกมา “เข้าข้าง” ฝ่ายครูอยู่ดี ซ้ำตำหนิพ่อแม่เด็กว่าตามใจเกินไปหรือไม่ ลูกของคุณซนจนก่อปัญหาให้ครูหรือเปล่า

อะไรหรือที่ทำให้ครูจำนวนหนึ่งไม่หืออือ ไม่ออกมาปกป้องเด็กนักเรียนที่พ่อแม่เขาเอามาฝากชีวิตไว้ให้ และอะไรกันที่ทำให้คนมองเห็นว่าการทำทารุณอย่างนั้นต่อเด็กอนุบาลวัยสามถึงห้าขวบนั้นเป็นเรื่องที่อาจมีเหตุผลยอมรับได้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรมอำนาจนิยม”

วัฒนธรรมอำนาจนิยมที่เชิดชูการเป็นครูอย่างเกินพอดี สร้างความศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าการมองว่าเป็นอาชีพ ให้อำนาจเหนือเนื้อตัวร่างกายและสิทธิเสรีภาพของเด็ก รวมถึงไม่เคยดำเนินคดีจริงจังกับครูที่ทำร้ายนักเรียน เพราะความเชื่อว่าครูมีบุญคุณจึงมีอำนาจทำอะไรกับนักเรียนก็ได้ วาทกรรมประเภทไม้เรียวสร้างคนเป็นรัฐมนตรี ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้หล่อเลี้ยงจนเกิดความวิปริตเช่นที่เราได้เห็นกัน ความวิปริตที่คุณเคยคิดว่าหนีได้ด้วยการส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่จ่ายไหว แต่เสียใจด้วย คุณหนีมันไม่พ้น

คุณหนีมันไม่พ้น เหมือนที่ต่อให้คุณกัดฟันผ่อนรถซิตี้คาร์มาขับเพื่ออย่างน้อยคุณก็ควบคุมการเดินทางของคุณเองได้ ไม่ต้องเจอกับระบบขนส่งมวลชนและการขนส่งห่วยๆ รถเมล์หยาบช้า รถไฟฟ้าปลากระป๋องในขณะที่ค่าโดยสารแพงระยับ แต่ในที่สุดวันร้ายคืนร้ายที่ฝนตกลงมาในเย็นวันทำงาน คุณก็ต้องจอดรถแช่น้ำอยู่สามชั่วโมงบนถนนและเส้นทางเดียวกันกับรถทั้งหลายที่คุณพยายามหลีกหนี หรือถ้าวันร้ายคืนร้าย คุณอาจจะขับรถตกลงไปในหลุมบ่อที่ก่อสร้างแล้วเก็บงานไม่ดี หรือชิ้นส่วนตอม่อรถไฟฟ้าที่โชคร้ายตกลงมาทับรถของคุณพอดี

คุณอาจจะคิดว่าคุณเลือกหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแล้วแม้ว่ารายรอบนั้นคือชุมชนแออัดที่เต็มไปด้วยปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติด แต่คุณก็คาดไม่ถึงหรอกว่าวันไหนที่คุณจะถูกลูกหลงจากการเคลียร์กันของอันธพาลเงินกู้นอกระบบหรือแก๊งค้ายาเสพติดหน้าร้านสะดวกซื้อในละแวกนั้น หรือไปเดินห้างสรรพสินค้าอยู่ดีๆ เจอทหารสติแตกที่ถูกผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจกดขี่คดโกงลากอาวุธสงครามออกมากราดยิง

คุณอาจจะตั้งใจทำงานอย่างหนักเต็มความสามารถเพื่อสร้างธุรกิจตามความเชื่อที่ว่างานหนักไม่มีวันฆ่าใคร และในทุกวิกฤตก็มีผู้ประสบความสำเร็จได้ถ้าฉลาดและแกร่งพอ จนลืมไปแล้วว่านอนเกิน 3 ชั่วโมงเมื่อไร ธุรกิจของคุณกำลังไปได้สวยเห็นอนาคต จนกระทั่งรัฐบาลที่ปกครองประเทศอยู่เปิดช่องให้ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์จากจีนเข้ามาตัดราคาขายแข่งกับคุณอย่างยับเยินด้วยข้อได้เปรียบนานาตามที่เข้าไปตกลงกันไว้

หรือคุณอาจจะให้การศึกษาลูกคุณให้เรียนรู้ รักการอ่าน พูดภาษาต่างประเทศได้สามสี่ภาษาอย่างคล่องแคล่ว เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ มีกรอบคิดแบบพัฒนาได้ และใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต แต่สุดท้ายเขาต้องมาทำงานกับลูกน้องที่อ่านหนังสือแทบไม่แตก ภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึง ตรรกะความคิดยังไม่ได้ หรือชั้นแต่จะรับคำสั่งที่ต้องดัดแปลงบ้างก็ไปไม่เป็น แล้วศักยภาพทั้งหลายที่คุณปลูกฝังให้ลูกจะยังมีประโยชน์อะไรหรือ …

แน่นอนว่าการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดนั้นเริ่มต้นที่ตัวเราเอง เพียงเท่านั้นเราก็แก้ปัญหาได้หลายเรื่องแล้ว หากยอมรับเถิดว่าลำพังปัจเจกนั้นไม่อาจแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง แต่ข่าวดีคือปัญหาเกือบทุกเรื่องที่เหลือนั้นแก้ได้ด้วยการมองภาพใหญ่ให้เห็นและร่วมมือกับคนอื่นเพื่อผลักดันแก้ไขปัญหาส่วนรวมในเชิงโครงสร้างเท่าที่เป็นไปได้ พร้อมกับการเรียกร้องการเมืองที่ดี ซึ่งจะนำมาสู่สังคมที่ดีได้ในที่สุด

และข่าวดีกว่านั้นก็คือว่า เราไม่จำเป็นต้องเลือกก็ได้ว่าเราจะแก้ปัญหาที่ตัวเราก่อน หรือแก้ปัญหาให้สังคมก่อน เพราะเราทำพร้อมกันไปได้ เราสามารถพัฒนาตัวเราให้เข้มแข็ง ตั้งใจทำในส่วนของเราให้ดีที่สุดในจุดที่เราเป็น พร้อมกับยอมรับว่าบางเรื่องบางประเด็นเราต้องเรียกร้องจากภาครัฐ และรัฐที่จะยอมรับฟังข้อเรียกร้องของเรา ก็ต้องเป็นรัฐที่มีความเชื่อมโยงและรับผิดชอบต่อประชาชน ที่เราสามารถเรียกร้องตรวจสอบได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอันตราย นั่นคือส่วนที่เป็นข้อดีที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมันคงไม่ใช่ทางออกอันสำเร็จรูป แต่ก็เป็นหนทางที่เรามองเห็นได้ว่า เราและคนอย่างเราๆ จะร่วมกันกำหนดอนาคตและสร้างสังคมสิ่งแวดล้อมของเราต่อไปอย่างไร

เราไม่จำเป็นต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง การเรียกร้องเชิงสังคมและการเมืองไม่ใช่การงอมืองอเท้าต่อปัญหาที่เพียงขยับตัวนิดหนึ่งเราก็แก้ไขได้ พอๆ กับที่ความพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองของปัจเจกนั้นไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นความสำคัญของปัญหาต่างๆ ในสังคม เพียงเพื่ออยากได้ชื่อว่าเราคือผู้ชนะในเกมแข่งหนูอันโหดร้าย

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image