องค์กรไทย-เทศ ค้านสลายม็อบรุนแรง ขัดหลักปฏิบัติสากล
การสลายการชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ที่แยกปทุมวัน ของเจ้าหน้าที่่ตำรวจด้วยการใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงอัดเข้าใส่ม็อบ ถูกองค์กรทั้งในและต่างประเทศออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย ตั้งข้อสังเกตุเป็นการใช้ความรุนแรงเกินเหตุ
โดยเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม สภานิสิตนักศึกษา 7 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สภานักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล สภานิสิต องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สภานิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ออกแถลงการณ์ประณามการสลายการชุมนุมดังกล่าว ระบุว่า แม้เป็นการชุมนุมภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง แต่การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ผู้ชุมนุมประกอบด้วย เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษาจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก แต่การสลายการชุมนุมครั้งไม่ได้เป็นไปตามหลักสากลในการควบคุมฝูงชนแต่อย่างใด มีการใช้รถฉีดน้ำผสมสารเคมีแรงดันสูงเพื่อขอคืนพื้นที่ ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมการชุมนุมเกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตา ถือเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม
ขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลและห่วงใยต่อสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ระบุว่า แม้การชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ต้องห้ามตามข้อกำหนดของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ แต่ก็ยังไม่ปรากฏลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ความรุนแรง จนเป็นเหตุถึงขั้นที่รัฐบาลต้องตัดสินใจใช้มาตรการในการสลายการชุมนุม จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ควรใช้มาตรการที่รุนแรงในการสลายการชุมนุมโดยสงบ และเห็นว่ารัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติควรใช้กระบวนการของรัฐสภา ในการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างจริงจัง
ขณะที่น.ส.ราวินา ชัมดาซานิ โฆษกสำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่นครเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ ว่า มีความกังวลเรื่องการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ทั้งที่จริงเป็นการชุมนุมโดยสงบเป็นส่วนใหญ่ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อการใช้สิทธิเสรีภาพขึ้นพื้นฐาน ซึ่งได้รับการรับรองโดยพันธสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
