จังหวะก้าวของ นายชวน หลีกภัย ในความพยายามที่จะใช้เวทีของรัฐสภาเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤตของประเทศในขณะนี้ประสบกับคำถามเก่าอันวนเวียนเหมือนกับอยู่ในเขาวงกต
ช้าหรือเปล่า ทันกับความร้อนของสถานการณ์หรือเปล่า
ปัญหานี้ทำให้ต้องย้อนกลับไปทบทวนท่าทีของที่ประชุมรัฐสภาเมื่อตอนค่ำของวันที่ 24 กันยายนอีกคำรบหนึ่งว่าเป็นท่าทีที่เหมาะสมและสอดรับกับสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์หรือไม่
คำถามที่สมาชิกแห่งรัฐสภาจำเป็นต้องตอบก็คือ ปัจจัยอะไรที่ ผลักรุนให้เกิดการยื่นญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะมา จากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะมาจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน
เกิดจากความสำนึกตระหนักในความจำเป็นอันรีบด่วน หรือเกิดจากปรากฏการณ์ของ”เยาวชนปลดแอก”อันสำแดงออกในเดือน กรกฎาคมและขยายวงกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
นั่นแหละจะเป็นคำตอบว่าท่าทีของพรรคพลังประชารัฐประสานเข้ากับ 250 ส.ว.เป็นท่าทีอะไรในทางการเมือง
ยิ่งเมื่อนำเอาการชุมนุมที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่หลายจุดในกทม.หากแต่หลายจังหวัดในขอบเขตทั่วประเทศมาพิจารณาตรวจสอบกับจังหวะ แต่ละจังหวะในทางการเมือง
ยิ่งทำให้เห็นว่าการตัดสินใจในแต่ละจังหวะก้าวกำลังจะสร้างและกลายเป็นปัญหาใหม่แทนที่จะยุติปัญหาลงได้
เมื่อผ่านสถานการณ์สลายการชุมนุมอันมาพร้อมกับประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงนับแต่วันที่ 15 ตุลาคมและยกระดับไปสู่การฉีดน้ำผสมสารเคมีเข้าใส่ในวันที่ 16 ตุลาคม
แทนที่ปฏิบัติการสาดน้ำผสมสารเคมีจะยุติปัญหา ยุติการเคลื่อนไหว ตรงกันข้าม กลับเหมือนกับสาดน้ำมันเข้าใส่กองเพลิงก่อให้เกิดการประท้วงตามมาอย่างรุนแรง กว้างขวางและลึกซึ้ง
ปมอยู่ตรงที่เป้าหมายคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คำถามก็คือ ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของรัฐสภา ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของพรรคร่วมรัฐบาลเป้าหมายอยู่ที่อะไร
แม้เป้าหมายคือการคลี่คลายและหาทางออกให้กับปัญหาอันกลาย เป็นวิกฤตในทางการเมืองอยู่ขณะนี้ แต่คำถามก็คือวิกฤตหรือตัวของปัญหาอยู่ตรงไหน
มีความจำเป็นต้องใช้หลักแห่งอริยสัจในการค้นหาตัวทุกข์
หากไม่เข้าใจว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือตัวทุกข์ก็จะวนเวียนอยู่ในเขาวงกตมิอาจหาทางออกที่ถูกต้องได้อย่างเป็นจริง
นี่ย่อมเป็นคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง