ทั้งๆที่พรรคร่วมฝ่ายค้านพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะให้มีการเปิดประชุมรัฐสภา”สมัยวิสามัญ” เพื่อคลี่คลายปัญหาอันกำลังกลายเป็น”วิกฤต”ที่ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
แต่ไม่เคยได้รับความสนใจไม่ว่าจะจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ไม่ว่าจะจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประ ชารัฐ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แล้วเหตุใด ณ วันนี้ ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ว่า นายจุ รินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ ล้วนเห็นชอบด้วยกับการเปิดประชุมรัฐสภา
ทุกอย่างมิได้มาจากสำนึกและความตื่นตัวและตระหนักว่าข้อเรียกร้องอันมาจากพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นหนทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน
หากแต่มาจากพลานุภาพอันหนุนเนื่องและแรงกล้ามากยิ่งขึ้นเป็นลำดับของ”คณะราษฎร 2563”ที่ยกระดับขึ้นเป็น”ราษฎร”
เอกภาพในทางความคิด ไม่ว่าจะมาจากทางด้านของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ในกรณีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญก็เช่นเดียวกับกรณีของ”รัฐธรรมนูญ”
นั่นก็คือ รัฐบาลเห็นว่าการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาและหาวิธีการแก้ไขคือหนทางออกที่เหมาะสมที่สุด
เหมาะสมต่อกลยุทธ์ในการเตะถ่วงหน่วงเวลา
แต่ที่ต้องรีบร้อนในการสรุปและเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก็เพราะกระแสกดดันอย่างต่อเนื่องอันมาจาก”เยาวชน ปลดแอก”ซึ่งจุดพลุนับแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา
กระนั้น รัฐบาลก็ยังติดความเคยชินเดิมในการเตะถ่วงหน่วงเวลาดังที่ได้แสดงออกในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 24 กันยายนด้วย การเสนอให้จัดตั้ง”คณะกรรมาธิการ”ศึกษา
ไม่ว่ากรณีของ”รัฐธรรมนูญ” ไม่ว่ากรณีเปิดประชุมสมัยวิสามัญล้วนเป็นกระบวนการอันมาแต่สภาวะของการยอมจำนน
คำถามก็คือ กลยุทธ์ของรัฐบาล กลยุทธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลเช่นนี้สังคมตระหนักและรู้เท่าทันหรือไม่และเพียงใด
ตอบได้เลยว่า สังคมตระหนักและรู้เท่าทันทุกฝีก้าว
เห็นได้จากการขยับของพรรคเพื่อไทย เห็นได้จากการขยับของ พรรคก้าวไกล
เห็นได้จากคำประกาศ ”บิ๊กเซอร์ไพรส์”ที่จะเกิดขึ้น