เหตุปัจจัยอะไรทำให้ “กระแส” ก่อนวันที่ 7 สิงหาคม โน้มเอนไปในทาง “ไม่ผ่าน”
1 เหตุปัจจัย พรรคการเมือง
เพราะว่าน้ำเสียงของพรรคเพื่อไทย คือ “ไม่รับ” เพราะว่าน้ำ เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ คือ “ไม่รับ”
โดยอิง “ข้อมูล” การเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554
คะแนนของพรรคเพื่อไทยอยู่ที่ 15 ล้านเศษ คะแนนของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ที่ 10 ล้านเศษ
จึงเกิดความโน้มเอนไปในทาง “ไม่ผ่าน”
1 เหตุปัจจัยจากสถานการณ์”ประชามติ”เมื่อเดือนสิงหาคม 2550
พรรคประชาธิปัตย์ “รับ”ไปก่อน”แก้ไข”ทีหลัง
แต่ในเดือนสิงหาคม 2559 แม้ไม่มี “มติ” แต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ประกาศเด่นชัดว่า “ไม่รับ”
จึงเชื่อกันว่า”ไม่ผ่าน”มากกว่า “ผ่าน”
แต่แล้วผลของ“ประชามติ”ปรากฏออกมาว่า ร้อยละ 61.41 รับ ร้อย ละ 38.60 ไม่รับ
แม้กระทั่ง “คำถามพ่วง” ก็ “ผ่าน”
แสดงว่าความน่าเชื่อถือวางอยู่กับ “พรรค คสช.”มากกว่าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์
กทม. ก็”รับ” ภาคกลางก็”รับ” ภาคเหนือก็”รับ”
มีแต่เพียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นที่”ไม่รับ” มีแต่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นที่ “ไม่รับ”
พรรคประชาธิปัตย์อาจเสียฟอร์มที่ “ภาคใต้”
แต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องเสียฟอร์มเป็นอย่างสูงที่”ภาคเหนือ”
พรรค คสช.จะดำรงสถานะเหนือกว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรค ประชาธิปัตย์
การเลือกตั้งปลายปี 2560 หรือต้นปี 2561 จึงเข้มข้น
อย่างน้อยที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ก็แตกต่าง
แตกต่างไปจาก กาฬสินธิ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม บึงกาฬ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุ รินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี
อย่างน้อยที่ภาคเหนือก็มีจุดแตกต่าง
มีเพียง เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลำพูน แพร่ เท่านั้นที่คะแนน “ไม่รับ” เหนือรับ
ขณะที่ กำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ น่าน พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ คะแนน”รับ” เหนือกว่าคะแนน”ไม่รับ”
โอกาสของ “พรรคคสช.” จึงเห็นแสงอยู่รำไร
เพียงแต่ “คสช.” จะเลือก “ขุนพล” คนใดให้เป็น “มือการ เมือง”ให้เท่านั้น
มีเป้า 3 เป้าให้เลือก
เลือกจากนครราชสีมา เลือกจากบุรีรัมย์ เลือกจากอุบลราชธานี
