การสำนองรับจากอดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง นายอานันท์ ปันยารชุน อย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถือเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอนในทางการเมือง
สะท้อนให้เห็นความห่วงหาอาทรต่อ”ปัญหา”อันกำลังจะกลาย เป็น “วิกฤต” อย่างใหญ่หลวง
ความน่าสนใจมิได้อยู่ที่ว่า นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ เคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบบ้านเมืองมาแล้วเท่านั้น
หากประการสำคัญเป็นอย่างมากเทียบเชิญอันดำเนินการโดย ประธานรัฐสภาผู้มีนามว่า นายชวน หลีกภัย ก็เคยดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรีมาแล้วเช่นเดียวกัน
จึงเท่ากับว่าโดยพื้นฐานมีอดีตนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว 4 คนที่กำลังแสดงความห่วงหาอาทรต่อสถานการณ์อันเป็น”ปัญหา”อยู่ในสังคมไทยในขณะนี้
ในด้านหนึ่งจึงเท่ากับว่ากำลังมี 4 อดีตนายกรัฐมนตรีเข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหามิให้ต้องกลายเป็น”วิกฤต”
คำถามอันมาจากอารมณ์”ร่วม”ในทางสังคมก็คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ใด
คำตอบก็คือ อยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คำถามต่อไปก็คือ ทั้งๆที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับผิดชอบ ในการเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562
เหตุใดจึงต้องมีการตั้ง”คณะกรรมการสมานฉันท์” เหตุใดจึงต้องมีการเชื้อเชิญอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างน้อย 3 คนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
เป็นเพราะบรรดา”เยาวชนปลดแอก”ให้ร้ายป้ายสี สร้างเรื่องแล้วโยนให้กับนายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กระนั้นหรือ
นี่คือโจทย์ข้อแรก นี่คือการบ้านพื้นฐานที่สุดที่อดีตนายกรัฐมนตรีจักต้องหาคำตอบ
เริ่มมี”ปฏิกิริยา”ปรากฏขึ้นจากภายในพรรคพลังประชารัฐแสดงความหงุดหงิดต่ออุบัติแห่ง”คณะกรรมการสมานฉันท์”ขึ้นแล้ว นี่ย่อมเป็นปรากฏการณ์ที่สามารถเข้าใจได้
เหมือนกับเป็นปรากฏการณ์อันทะยอยมาจาก”ฝ่ายค้าน”
นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของ นายชวน หลีกภัย ว่าจะนำพา “คณะกรรมการสมานฉันท์”สร้างความสมานฉันท์อย่างไร