เมื่อวันที่ 9 พ.ย. รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต นักวิชาการ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิต
พล.อ.ประยุทธ์ เคยแถลงว่า จะสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ ม.256 แต่ ส.ว. กลุ่มหนึ่งที่ตั้งมากับมือ และ ส.ส. บางส่วนของพรรคพลังประชารัฐ กลับร่วมมือกันเสนอญัตติเพื่อขออนุมัติจากรัฐสภาให้ส่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 256 ต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความ
มีทางเลือกในการอธิบายเพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์นี้อย่างน้อย 2 อย่าง
1 กรณีพลเอกประยุทธ์ไม่รู้เห็นกับการกระทำของ ส.ว.และ ส.ส.กลุ่มนี้ก็หมายความว่า พลเอกประยุทธ์หมดอำนาจ ขาดบารมีทางการเมืองลงแล้วอย่างสิ้นเชิง ทำให้คำพูดที่คนได้ยินกันทั่วประเทศไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อการกระทำของ ส.ว. และ ส.ส.กลุ่มนี้อีกต่อไป พวกเขาจึงทำเรื่องที่ส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของพลเอกประยุทธ์ และทำให้พลเอกประยุทธ์กลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไร้ตัวตน หากเป็นแบบนี้ มีความเป็นไปได้ว่า ส.ว.และ ส.ส.กลุ่มนี้จะประเมินว่า พลเอกประยุทธ์อาจอยู่ในอำนาจอีกไม่นาน ดีไม่ดี อาจไม่เกินวันที่ 2 ธันวาคมนี้ก็ได้ พวกเขาจึงไม่ให้ค่าคำพูดของพลเอกประยุทธ์ อีกต่อไป
2. กรณีพลเอกประยุทธ์รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำของกลุ่มนี้ ก็หมายความว่า พลเอกประยุทธ์เป็นคนใช้ไม่ได้อย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการสมคบคิดกันหลอกลวงประชาชนนั่นเอง แต่ผมคิดว่า กรณีที่สองมีความเป็นไปได้น้อย น่าจะเป็นกรณีแรกเสียมากกว่า
ก็ต้องดูกันต่อไปว่า สมาชิกรัฐสภาที่เหลือ จะลงมติอนุมัติให้ส่งญัตตินี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่
หากไม่อนุมัติก็แสดงให้เห็นว่า สมาชิกส่วนใหญ่ของรัฐสภายังมีสำนึกผิดชอบชั่วดี รู้ร้อนรู้หนาวกับวิกฤติของบ้านเมือง ไม่เต้นไปตามการกระทำและเจตนาที่น่าสงสัยของกลุ่ม ส.ว. และ ส.ส. ที่เสนอญัตติ
แต่หากอนุมัติผ่านไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็แสดงว่ามี กลุ่มอำนาจรัฐมีเจตนาแตกหัก เพื่อรักษาตำแหน่งและอำนาจเอาไว้ โดยไม่สนใจใยดีว่า ผลที่ตามมาจะสร้างความเสียหายแก่สังคมมากเพียงไร
ได้แต่หวังว่า สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่จะมีสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมืองและสันติสุขของประชาชน โดยร่วมมือกันอย่างแข็งขันเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว