ถามว่าการเสนอญัตติให้จัดตั้ง ”กรรมาธิการวิสามัญ” เพื่อศึกษาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 24 กันยายน มาจากสมองก้อนโตของใคร
คำตอบเด่นชัดยิ่งว่ามาจาก นายไพบูลย์ นิติตะวัน ด้วยความเห็นชอบของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ์
นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นาย วิรัช รัตนเศรษฐ เป็นประธานวิปพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานวิปพรรคร่วมรัฐบาล
แล้วมตินี้ก็ประสบความสำเร็จเพราะการยกมือให้จาก 250 ส.ว.แม้จะสร้างความหงุดหงิดให้กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยก็ตาม
ถามต่อไปว่าการเสนอให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องตีความร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมาจากการริเริ่มร่วมกันของใคร
เห็นชัดว่ามาจาก นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ
ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่า ไม่ว่าข้อเสนอในเรื่องการจัดตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ไม่ว่าข้อเสนอในเรื่องการส่งร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ ศาลรัฐธรรมนูญถูกต้องหรือไม่
หากศึกษาบทเรียนจากกรณีเรื่องจัดตั้งกรรมาธิการวิสามัญเมื่อวันที่ 24 กันยายน
ด้วยการประสานพลังระหว่าง 250 ส.ว.กับ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ สามารถประสบความสำเร็จในที่ประชุมรัฐสภา แต่คำถามที่ตามมาก็คือมีความสง่างามหรือไม่
คำตอบเห็นได้ชัดอย่างยิ่งจากท่าทีตามมาของพรรคประชาธิปัตย์ ของพรรคภูมิใจไทย และความรู้สึกอันเป็นอารมณ์ร่วม ในทางสังคม
นั่นคือ ความรู้สึกที่ว่าต้องการเตะถ่วง ไม่ต้องการแก้ไข
ความรู้สึกอันเป็นอารมณ์ร่วมในทางสังคมนี้ยังต่อเนื่องมายังกรณีการส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าตีความในศาลรัฐธรรมนูญ
มาถึง ณ วันนี้ แทบไม่มีข้อสงสัยอะไรเหลืออยู่แล้วว่า แก่นแท้ของรัฐ บาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร
นั่นก็คือ ไม่อยากให้มีการแก้ไข หรือแก้ไขก็ที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบทอดอำนาจของตนเท่านั้น