วงเสวนาประสานเสียง 17-18 พ.ย.นี้เป็นวัน ปวศ. รบ.จริงใจหรือไม่ โหวตตั้ง ส.ส.ร.ดับวิกฤต

วงเสวนาประสานเสียง 17-18 พ.ย.นี้เป็นวัน ปวศ. รบ.จริงใจหรือไม่ โหวตตั้ง ส.ส.ร.ดับวิกฤต

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 13 พฤศจิกายน ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35, คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.), องค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-Net) และ 30 องค์กรประชาธิปไตย ร่วมกันจัดเวทีประชุมทางการเมือง หัวข้อ “บทบาทรัฐสภาในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ 7 ญัตติ กับจุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เพราะคิดว่าจะทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ จึงทำให้ต้องประกาศขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก ในฐานะที่เป็นตัวปัญหาทุกเรื่อง หากนายกฯลาออกจะเป็นการถอดสลักตัวแรก เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการถอดสลักที่สอง แต่ปรากฏว่ามี ส.ว.ที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลับจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ประชาชนต้องออกมาช่วยกันกดดัน

  • ‘พิชาย’ ชี้ ส.ว.เป็นจุดชี้ขาด จะเป็นตัวแทนพวกอภิสิทธิ์ชน หรือทำหน้าที่ผู้แทนปวงชน 

ขณะที่ นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธาน ครป. กล่าวว่า ตอนนี้เป็นเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่จะได้ดูว่าประเทศไทยจะไปในทิศทางไหน โดยรัฐสภาเป็นสถาบันที่มีบทบาทอย่างมาก ทั้งในฐานะเป็นตัวปัญหา และคลี่คลายปัญหาให้กับสังคม เราเห็นภาพชัดว่าจุดชี้ขาดคือวุฒิสภา ซึ่งพื้นฐานของ ส.ว. 250 คน ทั้งในแง่บุคคลและโครงสร้าง กล่าวได้ชัดเจนว่า ส.ว.เป็นตัวแทนชนชั้นนำและกลุ่มคนอภิสิทธิ์ชน ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน โดยมีอุดมการณ์รากฐานที่ต้องการรักษาอำนาจเดิมเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปกป้องวัฒนธรรมอุปถัมภ์ ภายใต้ความเชื่อเช่นนี้ทำให้ ส.ว.พยายามใช้ยุทธศาสตร์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวผ่านการเลือกองค์กรอิสระ การลงมติคัดค้านในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากมีการปฏิบัติทางการเมืองที่กระทบต่อเครือข่ายตัวเอง ส่งผลให้เห็นการต่อต้านหลากหลายและการประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อหยุดยั้งการกระทำที่คุกคามตนเอง เห็นได้จากการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่มีการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“อย่างไรก็ตาม แรงกดดันที่เกิดขึ้นอาจทำให้เอกภาพของ ส.ว.เกิดการแตกขึ้นได้ และจะมีพื้นที่เจตจำนงเสรีหลงเหลืออยู่บ้าง โดยไม่ได้มุ่งเพื่อประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียว การตัดสินใจจะยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของ ส.ว.น้อยลง เพราะการทำเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับการไม่ฟังเสียงของประชาชน ยิ่งไปกว่านั้น จะทำให้ความขัดแย้งเข้มข้นมากขึ้น ดังนั้น ผลกระทบที่มากกว่าภาพลักษณ์ที่เสียของ ส.ว.มีมากกว่านั้น เพราะจะทำให้ประชาชนเชื่อว่า ส.ว.เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ทำให้ประชาชนแสดงออกถึงความสิ้นหวัง บทบาทที่ ส.ว.จะดำเนินการในวันที่ 17-18 พฤศจิกายน จะต้องตระหนักความเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย การตัดสินลงมติในทางใดก็ต้องใช้จินตนาการและวิสัยทัศน์มากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้า” นายพิชายกล่าว

Advertisement
  • ‘อภิสิทธิ์’ ชี้แก้ รธน.คือรูปธรรมเดียวแก้วิกฤต ถ้ารัฐสภาปฏิเสธ ปท.ไม่เหลือทางออกแน่ 

ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเคยออกมาแสดงความคิดเห็นว่าไม่ควรเห็นชอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เพราะมีปัญหาหลายประการ ทั้งความอ่อนแอในการปราบปรามการทุจริตและความอ่อนแอในประชาธิปไตย โดยเฉพาะอำนาจหน้าที่ของ ส.ว.ที่มากขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นความขัดแย้งเสียเอง ซึ่งความขัดแย้งในปัจจุบันมีความซับซ้อนและมีมิติมากขึ้น เพราะมีมิติความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ และความเหลื่อมล้ำ แต่ปัญหานี้ยังมีทางออกได้ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยต้องให้รัฐสภามีฉันทามติว่าควรมีกติกาสากลที่ทุกฝ่ายยอมรับเพื่อเป็นทางออกที่ดีที่สุด ดังนั้น ถ้าในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ รัฐสภาเลือกที่จะปฏิเสธการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บอกได้เลยว่า เส้นทางการนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งแทบจะไม่เหลือแล้ว การจะทำให้คลี่คลายได้ จะต้องมีการรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกฉบับ คนพยายามตีความ และอ้างศาลรัฐธรรมนูญควรไปอ่านคำวินิจฉัยในอดีตใหม่ เพราะครั้งนั้น การยกร่างรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องทำประชามติ แต่รัฐธรรมนูญปัจจุบันกำหนดให้ต้องทำประชามติอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำประชามติถึงสองรอบ

“การลาออก การยุบสภาโดยที่ยังไม่มีการแก้ไขกติกา จะยังคงทำให้ปัญหากลับมาอยู่ที่เดิม การรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นรูปธรรมเดียวที่ทำให้เห็นว่าผู้มีอำนาจได้ยินข้อเรียกร้องถึงกติกาที่ควรต้องแก้ไข และจะเป็นการสร้างเวที และโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างรัฐสภา และผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่การแก้ไขในขั้นตอนของรัฐสภา” นายอภิสิทธิ์กล่าว และว่า สำหรับข้อห่วงใยเรื่องหมวด 1 หมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ หากติดตามเนื้อหาในรัฐธรรมนูญตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาจะพบว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ที่สำคัญประเด็นเกี่ยวกับพระราชอำนาจไม่ได้มีแค่หมวดดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังมีในหมวดอื่นๆ ด้วย ถ้าเรากังวลว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปกระทบเรื่องเหล่านี้ ก็ควรไปพูดคุยกันด้วยเหตุผลในรัฐสภา และกำหนดเป็นข้อตกลงว่ายังต้องคงไว้ซึ่งความเป็นรัฐเดี่ยว และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อเปิดพื้นที่ให้เอาเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนไปคุยกันได้อย่างมีเหตุมีผล เพื่อไม่ให้มีการใช้ถ้อยคำไปกระทบความรู้สึกต่อกัน

“แต่ตอนนี้คาดการณ์ว่าจะเกิดการรับและไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญบางฉบับ ช่องว่างระหว่างสองฝ่ายไม่ได้ลดลงเลย มีความพยายามจะบอกว่านายกฯส่งสัญญาณแล้ว ซึ่งเท่าที่ติดตามพบว่านายกฯบอกแค่ให้สนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลและพยายามอ้างเป็นเรื่องของรัฐสภา แต่กลับเกิดการพยายามยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ถ้านายกฯจะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับผ่านสภาก็ทำได้ง่ายนิดเดียว โดยยืนบอกกลางสภาเลยว่า ร่างรัฐธรรมนูญเป็นทางออกของประเทศและให้ไปคุยในรายละเอียด เพื่อให้นายกฯทำงานต่อไปได้ ผมก็อยากดูเหมือนกันว่า ถ้านายกฯพูดแบบนี้จะมี ส.ว.ไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญอีกหรือไม่” นายอภิสิทธิ์กล่าว

Advertisement

  • ‘สุดารัตน์’ ซัด ‘บิ๊กตู่’ เป็นศูนย์กลางความขัดแย้ง ถ้าจริงใจแก้ รธน. สิ้นปีนี้ต้องจบ 3 วาระ 

ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานสถาบันสร้างไทย กล่าวว่า ความขัดแย้งครั้งนี้มีมติระหว่างประชาชนด้วยกันเอง รวมทั้งยังมีเรื่องการมองปัญหาทางการเมืองแตกต่างกันของคนในแต่ละช่วงวัย นอกจากนี้ ในอดีตเมื่อครั้งมีความขัดแย้งหรือการรัฐประหาร แต่ละครั้งทุนของประเทศยังหนาอยู่ ทว่าครั้งนี้เรามีความเปราะบางมาก เราจะเสี่ยงไม่ได้ และจะต้องไม่เกิดการใช้กำลังเด็ดขาด เพราะจะทำให้ประเทศไทยจมดิ่งไม่รู้ถึงจุดไหน การที่นายกฯบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดใดๆ นั้นถือว่าเป็นความผิดชัดเจน การกระทำของนายกฯทำให้ตนเองเป็นศูนย์กลางความขัดแย้ง เริ่มตั้งแต่การสืบทอดอำนาจ และติดกับดักตัวเอง ตามมาด้วยการกระทำผิดรัฐธรรมนูญนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่ได้มีการปราบโกง ส่วนหนึ่งมาจากองค์กรตรวจสอบไม่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบ

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ลิดรอนสิทธิประชาชนและขัดขวางการกระจายอำนาจ ทำให้ไม่เกิดความเจริญงอกงามในประเทศไทย การแก้ไขปัญหาทำได้ง่ายๆ คือความจริงใจของนายกฯ และเปิดหูรับฟังโดยเข้าใจและต้องนำไปแก้ไข การเป็นผู้นำไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจแต่ต้องทำให้ประเทศอยู่รอด ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้จริงใจในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะย้อนกลับไปพบว่า มีกระบวนการที่จะพยายามยื้อไม่ให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ดังนั้น ในวันที่ 17-18 พฤศจิกายน จะเป็นโอกาสสุดท้ายในการพิสูจน์ความจริงใจของนายกฯ ถ้านายกฯจริงใจก็พูดออกมาคำเดียว คิดว่า ส.ส.และ ส.ว.จะเห็นด้วยและทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพิจารณาได้จบภายในเดือนธันวาคมทั้ง 3 วาระ และเข้าสู่กระบวนการจัดทำประชามติ ซึ่งแบบนี้ทำให้ปลายปี 2564 ประชาชนจะได้เลือกตั้งภายใต้กติกาที่มาจากประชาชน” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

  • ‘คำนูณ’ ย้ำ 17-18 พ.ย.นี้ ขอเป็น 1 เสียง ส.ว.โหวตแก้ รธน. สลายความขัดแย้ง

ขณะที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิก ส.ว. กล่าวว่า ที่มาอภิปรายในเวทีแห่งนี้ของตนเองไม่สามารถพูดแทนคนอื่นได้ แต่จะเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลในนามส่วนตัว ทั้งนี้ วันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้พอสมควร ตนเองคิดทบทวนตลอดเวลานับตั้งแต่มาเป็น ส.ว. โดยเคยเสนอว่า บ้านเมืองถึงเวลาที่ต้องคิดถึงการสลายความขัดแย้งเป็นรูปธรรมด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมทุกฝ่าย รวมไปถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และการลดอำนาจของ ส.ว. ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ไม่ใช่ว่าตนเองไม่เห็นด้วย แต่มองว่าในเมื่อจะมี ส.ส.ร.แล้วก็ควรให้ ส.ส.ร.เข้ามาดำเนินการแก้ไขในประเด็นอื่นๆ ซึ่งความคิดเห็นของตนเองในลักษณะนี้ถือเป็นส่วนน้อยในวุฒิสภา

“ผมเห็นว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ขัดรัฐธรรมนูญและไม่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่เคยกำหนดให้มีการให้เปิดให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ ยกเว้นรัฐธรรมนูญปี 2534 ที่มีการแก้ไขเพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 เกิดขึ้นมาแล้ว การแก้ไขมาตรา 256 จะต้องถูกทำประชามติโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว จึงไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ” นายคำนูณกล่าว

นายคำนูณกล่าวต่อว่า สำหรับเส้นทางการไปศาลรัฐธรรมนูญเรื่องใดๆ รัฐธรรมนูญแต่ละประเทศจะเขียนไว้ค่อนข้างจำกัด อย่างรัฐธรรมนูญ 2560 ก็กำหนดแล้วว่าจะต้องดำเนินการตาม 256 (9) เท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงก่อนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ และเป็นการกำหนดกรอบของศาลรัฐธรรมนูญไว้อย่างจำกัด การไปศาลรัฐธรรมนูญโดยอาศัยช่องทางตามมาตรา 49 ว่าด้วยการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจะกระทำมิได้ โดยยื่นผ่านอัยการสูงสุด ซึ่งในช่องทางนี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้มีความผิด ส่วนมาตรา 210 (2) ที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ที่มี ส.ส.และ ส.ว.ร่วมกันยื่นญัตติต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญนั้นตนเองไม่เห็นด้วยและจะไม่ยกมือให้กับญัตตินี้ เนื่องจากตนเองเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ หากไม่รู้ว่าหน้าที่มีอะไรแต่ต้องไปถามศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเรื่องแปลก การเขียน 210 (2) ในเชิงทฤษฎีคิดว่าค่อนข้างอันตราย

อย่างไรก็ตาม เมื่อนายคำนูณพูดจบ นายอภิสิทธิ์กล่าวเสริมว่า ข้อห่วงใยของนายคำนูณที่ห่วงเรื่องสุญญากาศจากการยกเลิกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ สามารถไปแก้ไขได้ในชั้นกรรมาธิการ และสามารถงดใช้ข้อบังคับบางประการได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่าให้ภาคประชาชนกับผู้มีอำนาจต้องขัดแย้งกันต่อไปเลย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image