ไอติม ร่ายยาว การกระทำ 3ป. คว่ำร่างรธน.ฉบับปชช. สร้างอุปสรรค นำพาปท.ออกวิกฤต

ไอติม ร่ายยาว การกระทำ 3ป. คว่ำร่างรธน.ฉบับปชช. สร้างอุปสรรค นำพาปท.ออกวิกฤต  

วันนี้ (19 พ.ย.) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ – ไอติม – Parit Wacharasindhu แกนนำกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า โพสต์ข้อเรียน เรื่อง การกระทำ “3 ป.” : อุปสรรคในการพาประเทศออกจากวิกฤติการเมือง หลังรัฐสภาโหวตรับหลักการเพียง 2 จาก 7 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า

“ผลการลงมติของสมาชิกรัฐสภาเมื่อวานนี้ แม้ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ผมเชื่อว่าหลายคนคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง

ผิดหวังที่สมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว.ไม่โหวตรับหลักการทุกร่างเพื่อไปพิจารณารายละเอียดเนื้อหาต่อในวาระถัดไป

ผิดหวังที่สมาชิกรัฐสภาหลายท่าน เลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อกล่าวหาใส่ร้ายร่างของภาคประชาชน โดยไม่รับฟังคำอธิบายของหลายฝ่าย ที่พยายามคลายข้อสงสัยและความกังวลเหล่านั้นให้เบาบางลง

Advertisement

ผิดหวังที่สมาชิกรัฐสภาบางท่าน ยังปักใจเชื่อว่าร่างของภาคประชาชนมี “ผู้อยู่เบื้องหลัง” ที่มีเจตนาร้ายต่อบ้านเมือง และลดทอนคุณค่าเจตนารมณ์ของประชาชน แทนที่จะพยายามเข้าใจว่าร่างนี้เป็นความต้องการของประชาชนธรรมดาที่เพียงฝันอยากอยู่ในประเทศที่เขามีอำนาจกำหนดอนาคตของตัวเอง

สิ่งที่รัฐสภา และรัฐบาลเลือกทำเมื่อวานนี้ คือการปิดช่องทางแคบๆ ที่เราเคยมี ในการแสวงหาฉันทามติจากทุกฝ่ายอย่างสันติวิธี เพื่อสร้างหนทางสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง

ผมขอนิยามอุปสรรคที่ท่านได้สร้างต่อหนทางนี้ เป็นคำว่า “3 ป.”

Advertisement

1. “ปฏิเสธ” หลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย

การไม่โหวตรับหลักการของร่างฉบับที่ 4 ที่เสนอให้ยกเลิกมาตรา 272 เพื่อยกเลิกอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นการปฏิเสธหลักการขั้นพื้นฐานที่สุดของประชาธิปไตย ว่าประชาชนทุกคนควรมี 1 สิทธิ์ 1 เสียง เท่ากันในการกำหนดทิศทางของประเทศ

ในเชิงคณิตศาสตร์ การเลือกที่จะคงอำนาจ ส.ว. ไว้เช่นนี้ คือการเลือกที่จะคงไว้ซึ่งระบอบที่คณะกรรมการสรรหา ส.ว. 1 คน มีอำนาจมากกว่าประชาชนธรรมดา 1 คนถึง 2 ล้านเท่า และระบอบที่ ส.ว. 1 คน มีอำนาจมากกว่าประชาชนธรรมดา 1 คน 7-8 หมื่นเท่า

การที่ ส.ว.ส่วนใหญ่ ที่ได้ผลประโยชน์จากระบอบนี้ เลือกที่จะคงอำนาจอันล้นฟ้าของตัวเองไว้ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง

แต่สิ่งที่น่าผิดหวังกว่า คือการที่ ส.ส. จากพรรคร่วมรัฐบาล เกือบทั้งหมด – ซึ่งล้วนเป็นตัวแทนที่มาจากเสียงของประชาชน – กลับเลือกที่จะไม่ยืนยันหลักประชาธิปไตยพื้นฐานข้อนี้เสียเอง

ใครที่อ้างว่าให้รอนำเรื่องนี้ไปคุยใน สสร. อาจไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจว่ากระบวนการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจใช้เวลาถึง 1-2 ปี ดังนั้น การไม่ยกเลิกอำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯตั้งแต่วันนี้ (ทั้งๆ ที่ทำได้โดยไม่ต้องผ่านประชามติ) จะทำให้ความวิปริตที่สุดอย่างหนึ่งของระบอบการเมืองไทยยังคงอยู่ และยังคงเป็นชนวนแห่งวิกฤตทางการเมืองที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

2. “ปิดประตู” ต่อการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกเรื่องสถาบันฯ 

การโหวตไม่รับหลักการร่างของภาคประชาชน เป็นการปัดตกร่างฉบับเดียวที่เสนอให้ สสร. มีอำนาจพิจารณาแก้ไขหมวด 1 (บททั่วไป) และหมวด 2 (พระมหากษัตริย์) ภายในกรอบของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประเด็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันฯ ได้กลายมาเป็นประเด็นที่สำคัญต่อผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย – ทั้งฝ่ายที่ต้องการเห็นการปฎิรูปและฝ่ายที่คัดค้าน

ทางออกเดียวตอนนี้จึงเป็นการหา “พื้นที่ปลอดภัย” เพื่อสร้างบรรยากาศการพูดคุย พิจารณา และผสมผสานทุกความเห็นและทุกข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันฯ ให้แปรมาเป็นฉันทามติที่ทุกฝ่ายพอรับได้และขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า

รูปธรรมที่สุดของ “พื้นที่ปลอดภัย” นั้น คือ สสร. ที่มีอำนาจพิจารณาหมวด 1 และ หมวด 2 ได้ – การล็อกไม่ให้ สสร. พิจารณา 2 หมวดนี้ เป็นการผลักให้ประชาชน 2 ฝ่ายที่กำลังมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องไปหาพื้นที่พูดคุยในเวทีชุมนุมที่อาจมีความสุ่มเสี่ยงและท้าทายมากกว่าในการแสวงหาฉันทาติ หรือพูดคุยในวงเสวนา หรือวงส่วนตัวที่ไม่นำไปสู่การแลกเปลี่ยน และหาข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม

ใครที่อ้างว่าการเปิดให้พิจารณาหมวด 1 หมวด 2 จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง ผมย้ำอีกครั้งว่าเป็นเรื่องที่ท่านเข้าใจผิด และขอเชิญชวนท่านลองอ่านคำอธิบายของผมใน post นี้ (https://www.facebook.com/paritw/posts/5184518284895210)

3. “ปาหี่” โมเดล สสร.

แม้ 2 ร่างที่ผ่านการโหวตรับหลักการของรัฐสภา จะเป็นข้อเสนอให้ตั้ง สสร. ขึ้นมาเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จริง แต่เรายังคงต้องจับตาดูรายละเอียดในวาระที่ 2 และ 3 ว่าทางรัฐบาลจะมีลูกเล่นอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ที่อาจทำให้กระบวนการนี้ ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นลูกเล่นในเชิงการ “ล็อกสเปก” สสร. ผ่านการจัดสรรที่นั่งใน สสร. 50 จาก 200 ที่นั่ง ให้มาจากกระบวนการแต่งตั้งที่รัฐบาลสามารถควบคุมได้ (ตามข้อเสนอในร่างของพรรคร่วมรัฐบาล)

ไม่ว่าจะเป็นลูกเล่นในเชิงการ “ยื้อเวลา” ผ่านการอ้างกระบวนการต่างๆ (เช่น การออกกฎหมายประชามติ การตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาเพิ่มเติมหลายชุดที่ทับซ้อนกัน) ที่จะยืดระยะเวลาก่อนจะได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

หรือไม่ว่าจะเป็นลูกเล่นในเชิงการ “ล้มกระดาน” ผ่านแผนสำรองของรัฐบาลในการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย (อย่างไม่สมเหตุสมผล) ว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น ขัดรัฐธรรมนูญและเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้

การกระทำของรัฐบาลและรัฐสภาเมื่อวานนี้ จึงเป็นเหมือน “3 ป.” ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการนำพาประเทศออกจากวิกฤตทางการเมือง ในการแสวงหาฉันทามติใหม่ให้กับสังคม และในการสร้างหนทางกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง อย่างสันติวิธี

การเดินทางของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชาชนฉบับนี้ อาจสิ้นสุดลงแล้ว แต่การเดินทางเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยังอีกยาวไกล

แม้ดูแล้วหนทางข้างหน้าจะลำบากมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะหยุดเดิน ตราบใดที่ “เวลา” และ “ความหวัง” ยังอยู่ข้างเรา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image