สถานีคิดเลขที่ 12 ‘สองเสี่ยง’
มองในด้านหนึ่ง ดูเหมือนยังไม่มีพลังอำนาจอันใดมาหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของม็อบ “ราษฎร” ได้
มิหนำซ้ำ แนวร่วมของผู้ชุมนุมยังคล้ายจะขยายกว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หากพิจารณาไปที่ความตื่นตัวทางการเมืองซึ่งไม่โรยราลงของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างกิจกรรมที่แตกต่างจากเดิม และการประกาศตัวชูสามนิ้ว-สวมเสื้อเลอะสีของบุคลากรในแวดวงบันเทิง-ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยจำนวนไม่น้อย
แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง ก็มีแนวโน้มสูง ที่ม็อบจะถูกควบคุมปราบปรามด้วยมาตรการอันเข้มข้นมากขึ้นในเร็ววัน โดยเฉพาะการบังคับใช้เครื่องมือทางกฎหมาย ดังคำประกาศของผู้นำรัฐบาลเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน
สถานการณ์คล้ายคลึงกันยังเกิดขึ้นกับคู่ขัดแย้ง/ฝ่ายตรงข้ามของม็อบคนรุ่นใหม่ด้วย
กล่าวคือ ในด้านหนึ่ง รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐ ก็ดูเหมือนจะยังยืนหยัดครองอำนาจต่อไปได้เรื่อยๆ
แต่หากถามว่ารัฐบาลชุดนี้สามารถจะปกครองประเทศได้อย่างราบรื่นและได้รับการยอมรับจากประชาชนทุกฝ่ายหรือไม่?
คำตอบย่อมออกอีกหน้าหนึ่ง
หรือในด้านหนึ่ง กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดำเนินไปโดยรัฐสภาก็น่าจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา ด้วยมติ “เสียงข้างมาก” (ที่อาจไม่ได้มีลักษณะเป็น “เสียงข้างมาก” ตามระบอบประชาธิปไตยเสียทีเดียว)
แต่กระบวนการดังกล่าวจะสามารถตอบสนองความต้องการของทุกเสียงเรียกร้องจากประชาชนได้หรือไม่? และจะช่วยแก้ไขปัญหา-ความป่วยไข้ของสังคมการเมืองไทยได้ทันท่วงทีหรือเปล่า?
นั่นยังเป็นคำถามค้างคาใจ
เช่นเดียวกับสภาพการณ์ที่ว่า ในด้านหนึ่ง เครือข่าย-ฝ่ายที่ถือครองอำนาจรัฐ ณ ปัจจุบัน นั้นมีมวลชนผู้สนับสนุนกลุ่มใหญ่
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่ามีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเลือกยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา โดยปราศจากความหวาดกลัว
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่แค่สังคมไทยโดยรวมเท่านั้นที่กำลังแตกแยกออกเป็นสองเสี่ยง จากความขัดแย้งทางการเมือง ณ ปัจจุบัน
ทว่าทุกฝ่ายที่กระโจนเข้ามามีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งระลอกนี้ ล้วนกำลังเผชิญภาวะ “สองเสี่ยง” ของตนเองอยู่ทั้งนั้น
ภาวะ “สองเสี่ยง” ดังกล่าว อาจมิใช่ “ทางสองแพร่ง” ที่แต่ละฝ่ายจะสามารถเลือกเดินไปบนเส้นทางสายใดสายหนึ่งได้ตามใจปรารถนา
หรือเมื่อเลือกเดินบนทางที่ถูกต้องเหมาะสมสายหนึ่งแล้ว จะแคล้วคลาดจากหายนภัยที่รั้งรออยู่บนเส้นทางอีกสาย
แต่นี่อาจเป็นสองด้านสองแง่มุมของชะตากรรมที่ทุกฝ่ายต้องเผชิญไปพร้อมๆ กัน โดยไม่อาจหลีกหนีด้านใดด้านหนึ่งไปได้พ้น
ท่ามกลางความฮึกเหิม ความมั่นใจ การปลุกเร้าให้คาดหวังถึงชัยชนะ จึงล้วนมีภาวะผุกร่อน เค้าลางความเสื่อมสลาย และความเป็นไปได้ที่จะพ่ายแพ้ แฝงอยู่ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ทุกด้านของทุกกลุ่ม ต่างก็ถือเป็นปัจจัยที่พัวพัน-เชื่อมโยงไปถึงการดำรงอยู่ของคู่ขัดแย้งฝ่ายอื่นๆ อย่างสลับซับซ้อน
ซึ่งยังไม่มีใครล่วงรู้ว่าปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นจะนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นไรในอนาคต
ปราปต์ บุนปาน