บิ๊กตู่ เซ็นจองวัคซีนโควิด เผย ในหลวงพระราชทาน บริษัทในพระปรมาภิไธยผลิตแจกจ่าย

“บิ๊กตู่” ประธานลงนามสัญญาจองวัคซีน COVID – 19 เผยพระมหากรุณาธิคุณในหลวง พระราชทานให้บริษัทในพระปรมาภิไธย ทำการผลิตต่อ แจกจ่าย ย้ำไทยเตรียมทุกอย่างพร้อมรับ หากวัคซีนผลิตได้สำเร็จ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีน COVID – 19 โดยการจองล่วงหน้ากับบริษัท AstraZeneca จำกัด และสถาบันวัคซีนแห่งชาติของไทย พร้อมกล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาถือเป็นวิกฤตการณ์ที่สร้างความเสียหายทางด้านสังคมและเศรษฐกิจแก่ประเทศต่างๆ ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนทั้งโลก แต่ขณะเดียวกันประเทศไทยก็สามารถควบคุมการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19 ได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทุกคน ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้ออย่างจริงจัง แต่ทุกคนยังคงต้องระมัดระวังต่อไปและไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดขึ้นอีก ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในการแพร่ระบาด จึงได้มีมาตรการในการป้องกันตนเอง การดูแลสุขภาพ เช่น การสวมหน้ากาก การล้างมือ และการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พร้อมทั้งสนับสนุนให้กระทรวงสาธารณสุขและทุกภาคส่วนช่วยกันผลักดันให้โครงการจะทำวัคซีนในครั้งนี้ สามารถดำเนินการได้จนใกล้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งคาดว่าคนไทยจะมีวัคซีนใช้ในปี 2564

นายกฯ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ต้องมีการเตรียมการภายในประเทศรับวัคซีน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้บริษัทสยามไบโอไซน์ ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย ทำการผลิตต่อ แจกจ่ายหรือบรรจุ ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมเอาไว้ และวันนี้ทุกอย่างถือว่า พร้อมรับหากวัคซีนผลิตได้สำเร็จ นอกจากที่ดูแลและจ่ายประชาชนในประเทศ ยังมีสัญญากับอาเซียนว่าจะต้องดูแลซึ่งกันและกัน และวัคซีนจะต้องเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้คนทุกคนนั้นเข้าถึง ส่วนด้านการวิจัย พัฒนายา และวัคซีน หรือการวิจัยอื่นๆ รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว มีการจัดทำกองทุนและระเบียบใหม่ในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งในขณะนี้มีหลายผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพที่มีการผลิตภายในประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศด้วย พร้อมกับในอนาคต หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าและสามารถฟื้นฟูได้ ประเทศไทยจะต้องพึ่งตัวเองให้ได้ในเรื่องวัคซีน และจะต้องเพียงพอต่อประชาชน ทั้งในภาวะปกติและในภาวะฉุกเฉิน จะต้องดำเนินการเพื่อประชาชนและประเทศชาติของเราเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือความสำคัญทางด้านสุขภาพ ที่จะควบคู่กับเศรษฐกิจเสมอ และต้องคิดว่าทำอย่างไรคนไทยจะแข็งแรง และจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมากนัก สุขภาพของคนต้องดีขึ้น รัฐบาลมุ่งเน้นตรงนี้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ใช้งบประมาณไปหลายเรื่อง แต่ให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพเป็นอันดับหนึ่ง เพราะทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งที่สุด

จากนั้นเวลา 14.30 น. นายกฯให้สัมภาษณ์ว่า ครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญในการลงนามร่วมกัน ระหว่างประเทศผู้ค้นคว้าวิจัยและผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งเราได้ทำสัญญาเรื่องการจองซื้อก็มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ซึ่งเราก็ติดตามการพัฒนาทุกประเทศ แต่ในกลุ่มนี้มีความก้าวหน้าในระดับที่สูง และสูงมากด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นมีแนวโน้มว่าจะผลิตได้ในต้นปีหน้านี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องเตรียมความพร้อมในประเทศของเรา คือการนำสู่เรื่องการบรรจุภัณฑ์ หีบห่อ อะไรก็แล้วแต่ วัคซีนต้องมีการขนย้ายและการเก็บรักษา ซึ่งก็มีบริษัทที่ลงนามร่วม มีพยานมาวันนี้ บริษัทสยามไบโอไซน์ของเราซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย เป็นพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเราจะต้องมีบริษัทหรือหน่วยงานที่จะต้องผลิตยาและวัคซีนให้คนไทยให้เกิดความทั่วถึงในประเทศ ซึ่งถือเป็นสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้วย ซึ่งรัชกาลที่ 10 ก็ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดตรงนี้มา และทรงพระราชทาน พระราชานุญาตให้บริษัทสยามไบโอไซน์ เป็นผู้ที่จะทำการผลิตต่อ ถ่ายทอดเทคโนโลยีเข้ามาด้วย และคงไม่ใช่แค่ตรงนี้ เพราะวันหน้าเราไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นมาอีก แต่อันนี้ถือเป็นความพร้อมของเราแล้ว ให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในเรื่องของวัคซีน ก็ขอให้คนไทยทุกคนได้ช่วยกันตั้งจิตให้ทุกอย่างสำเร็จด้วยดี

นายกฯ กล่าวด้วยว่า เมื่อเช้าไปเยี่ยมประชาชนตามคลองมาแล้ว ทุกคนก็มีความสุขตามอัตภาพอยู่พอสมควร ที่เดือดร้อนรัฐบาลก็จะดูแลเป็นขั้นเป็นตอนไปแล้วกัน พร้อมกล่าวหยอกสื่อด้วยว่า มีใครจะฉีดวัคซีนหรือไม่ เอาสื่อไปทดลองฉีดหน่อย สัก100คน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image