กมธ.คมนาคม กัดไม่ปล่อย ขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว จ่อเสนอ ‘ป.ป.ช.-สตง.’ สอบต่อทันที

กรรมาธิการคมนาคมสภาผู้แทนราษฎร กัดไม่ปล่อย ขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว จ่อเสนอ ‘ป.ป.ช.-สตง.’ สอบต่อทันที

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่รัฐสภา นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงการเสนอขยายต่ออายุสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปอีก 30 ปีให้กับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอต่อ ครม. เพื่อขอความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนว่า ภายหลังจากที่มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.), สำนักบริหารหนี้สาธารณะ, กรมการขนส่งทางราง (ขร.) กระทรวงคมนาคม, กระทรวงการคลัง มาชี้แจงถึงแนวทางและเหตุผล รวมถึงข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ยอมรับว่า ข้อมูลที่ได้ทางคณะกรรมาธิการฯมองว่ายังไม่มีความชัดเจนที่สามารถตรวจสอบ หรืออ้างอิงที่มาที่ไปที่จะรับฟังได้ หากมีการต่อขยายอายุสัญญาสัมปทานให้เอกชนว่าประโยชน์ที่แท้จริง ประชาชนและภาครัฐได้ประโยชน์อย่างไร

ดังนั้น ทางกรรมาธิการคมนาคม สภาฯ จึงได้ทำหนังสือออกไปเพื่อเป็นลายลักษณ์อักษรถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อตอบคำถามในสิ่งที่ทางสภาฯได้ถามไปให้ตอบกลับมาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งตามกำหนดได้ให้ส่งกลับมายังสภาฯภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ หลังจากนั้นทางคณะกรรมาธิการคมนาคม สภาฯ จะมาสรุปเพื่อมาประมวลข้อมูลทั้งหมด ก่อนที่คณะกรรมาธิการคมนาคมจะสรุปผลทั้งข้อดี ข้อเสีย เหตุผลในทุกๆ ด้านมาประกอบ ซึ่งหากพิจารณาและสรุปออกมาแล้ว ทางคณะกรรมาธิการยังพบว่าไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน หรือภาครัฐ หรือสุ่มเสี่ยงไปในทางที่ไม่โปร่งใส ทางคณะกรรมาธิการคมนาคม สภาฯ จะส่งผลสรุปไปยังหน่วยงานที่ตรวจสอบความไม่โปร่งใส ประกอบด้วย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และรัฐบาล

นายโสภณกล่าวต่อว่า สำหรับสาเหตุที่ต้องทำความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้เป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากที่ผ่านมาที่เรียกมาชี้แจงแสดงความเห็น กลับพบว่ามีบางหน่วยงานให้ข้อมูลที่ไม่มีความชัดเจน ไม่หนักแน่นพอ ประกอบกับการขยายต่ออายุสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวไปอีก 30 ปี แลกกับค่าโดยสารที่ 65 บาทตลอดสาย ในขณะที่สัญญาสัมปทานที่ กทม.มีกับบีทีเอสนั้นจากเดิมจะสิ้นสุดในปี 2572 หากมีการขยายจะไปสิ้นสุดในปี 2602 ขณะที่มีการอ้างว่า หากต่อขยายสัญญาเพื่อให้ทันตามแผนการเปิดให้บริการเดินรถไฟสายเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ มีความต่อเนื่องในการเดินทาง โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายขบวนรถ รวมถึงได้รับความสะดวก ปลอดภัย และค่าโดยสารที่เหมาะสม

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ในทางปฏิบัติ หากไม่มีการต่อขยายสัญญา โครงการดังกล่าวจะตกเป็นของภาครัฐอยู่แล้ว และหากในอนาคต รัฐบาลมีรถไฟฟ้าหลายสาย หากจะมีการเชื่อมต่อระบบระหว่างกันจะทำให้มีการควบคุมราคา หรือลดราคา โดยการใช้ตั๋วร่วม ในทางนโยบายของรัฐบาลทำได้ยากทันที ดังนั้น เรื่องนี้ทางสภาฯจึงมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกันทางสังคมได้มีการติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ในฐานะนิติบัญญัติ เมื่อได้ข้อมูลมาทางกรรมาธิการคมนาคม สภาฯ จึงต้องมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมองว่าหากมีการต่อขยายอายุสัญญาให้กับเอกชน ถือเป็นการเพิ่มนัยที่สำคัญของสัญญาทันที โดยที่ไม่มีการเปิดประมูลหาเอกชนเข้ามาดำเนินการหลังหมดสัญญา

“ประเด็นสำคัญเรื่องนี้มีการพิจารณาตามข้อกฎหมายว่า การขยายสัมปทานดังกล่าวเข้าข่ายเป็นแค่การต่อสัญญา หรือการแก้ไขสัญญาที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีเส้นทางต่อเชื่อมระยะทางเพิ่มขึ้น การกำหนดราคาค่าโดยสารเพิ่มขึ้นที่อ้างว่ามีการสอบถามความเห็นของประชาชนบางส่วนแล้ว และรับได้กับราคาดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง การคำนวณค่าโดยสารจะต้องมีการนำข้อมูลฐานผู้ใช้บริการมาคำนวณกับดัชนีราคาผู้บริโภคต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด” นายโสภณกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image