‘วิษณุ’ ชี้ ปมบ้านพักหลวงจบแล้ว ไม่มีอุทธรณ์-ฎีกา ใครไม่อยากจบก็ช่าง ระบุ คำตัดสินศาลบอกชัด รธน. หรือระเบียบทบ. อะไรสูงกว่า เทียบ ‘บิ๊กตู่’ ได้สิทธิเหมือน ‘ป๋าเปรม’ อยู่บ้านสี่เสาเทเวศร์
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่มีความผิดกรณีอยู่บ้านพักหลวง โดยยกระเบียบกองทัพบกมาเป็นเหตุผลทั้งที่ไม่มีกฎหมายรองรับว่า ตนมองว่าเรื่องนี้เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาถือว่าจบแล้ว แต่ใครจะร้องก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ส่วนที่เขาร้องไปยังกมธ. แล้วจะรับเรื่องหรือไม่นั้นต้องไปถามที่กมธ. ส่วนจะไปร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้หรือไม่นั้นตนไม่มีความเห็น เมื่อถามว่า ระเบียบกองทัพบก มีกฎหมายรองรับจริงหรือไม่ นายวิษณุ ตอบว่า มีกฎหมายรองรับ แต่ให้ไปถามรายละเอียดที่กองทัพบก อีกทั้งระเบียบดังกล่าวไม่จำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพราะเป็นระเบียบภายในที่ออกมาตั้งแต่ปี 2548 ที่มีอำนาจในการจัดสวัสดิการภายใน เมื่อถามย้ำว่า ประเด็นนี้ในมุมของรัฐบาลถือว่าสะเด็ดน้ำใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วมีผลผูกมัดทุกองค์กรทั้งปวงก็ต้องตอบว่าจบ ส่วนใครที่เห็นว่าไม่จบ จะไปร้องต่อก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เมื่อร้องแล้วเขาจะรับหรือไม่หรือรับ หรือทำอย่างไรก็แล้วแต่ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญจะรายงานสภาฯ หรือจะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือจะส่งให้ ป.ป.ช. หรือจะส่งศาล หรือจะทำอย่างไรก็แล้วแต่
“ก็เราเป็นผู้ต้องหา เป็นจำเลย จะบอกว่ายกฟ้องแล้วไม่จบ ก็คงเป็นจำเลยที่แปลก แต่ถ้าโจทก์ร้องว่าผิดศาลบอกยกฟ้องไม่ผิด โจทก์บอกไม่จบก็อุทธรณ์ ฎีกา ได้ แต่บังเอิญว่าคดีนี้ไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา เมื่อไม่จบจะไปอย่างไรก็ช่างคุณ” นายวิษณุ กล่าว
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าการยกระเบียบกองทัพบกมาระบุว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความผิด เป็นการทำให้ระเบียบใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ รองนายกฯ กล่าวว่า ศาลไม่เคยบอกว่าอะไรสูงกว่า คำตอบมีอยู่ชัดทั้งหมดหากไปอ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็มของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเริ่มต้นเขาร้องว่าผิดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 184 (3) ที่ระบุว่าไม่ให้รับเงินหรือสิทธิใดๆ จากหน่วยงานของรัฐเป็นกรณีพิเศษ เว้นแต่จะเป็นการรับซึ่งหน่วยงานนั้นได้ปฏิบัติต่อบุคคลทั่วไปในธุรกิจการงานปกติ ดังนั้นถ้าเริ่มต้นด้วยการรับอะไรที่ไม่พิเศษก็รับได้ ที่รับได้นั้นรับตามระเบียบแต่ระเบียบนั้นมาตรา 184 (3) อนุญาตให้ออกดังนั้นอะไรที่เป็นกรณีพิเศษต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป เมื่อมีการออกระเบียบให้สามารถทำได้มันก็ไม่ใช่กรณีพิเศษ เฉกเช่นทำไมนายกฯ ไปอยู่บ้านพิษณุโลกได้ ก็ถือเป็นการรับสิทธิประโยชน์จากส่วนราชการไม่ใช่หรือ คำตอบก็คือใช่ไม่กรณีพิเศษ ใครที่เป็นนายกฯ ก็อยู่ได้ทุกคน ใครเป็นรัฐมนตรีก็ได้รับเงินเดือนทุกคน การเข้าอยู่บ้านพักหลวงของพล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
“แต่หากอ้างว่าเป็นนายกฯ อยู่บ้านพิษณุโลกได้ แต่อยู่บ้านพักทหารไม่ได้ เพราะนายกฯ คนอื่นไม่มีสิทธิอยู่บ้านพักทหาร แต่ระเบียบกองทัพบกให้สิทธิ อดีตผบ.ทบ. ที่ทำคุณประโยชน์อยู่ ก็เหมือนกับการที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นอดีตผบ.ทบ. อยู่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ได้ และอดีต ผบ.ทบ.หลายคนอยู่บ้านพักเกษะโกมลได้ และคำว่าบ้านหลวงของทหารนั้นต่างจากข้าราชการทั่วไปหลายคนอาจไม่เข้าใจเพราะต้องแบ่งเป็น 2 ประเภท และไม่ได้เพิ่งมีความหมายตอน พล.อ.ประยุทธ์ ถูกฟ้องเพราะมีมาตั้งแต่ปี 2548 โดยแบ่งเป็นบ้านพัก คนที่ดูแลคือกรมสวัสดิการทหารบกมีสิทธิให้ข้าราชการเข้าอยู่ได้ออกค่าน้ำค่าไฟเองเมื่อพ้นจากตำแหน่งต้องย้ายออก และบ้านรับรองหรือบ้านพักรับรองที่ไม่มีการระบุระยะเวลาที่ต้องออก คล้ายกับบ้านพักประจำตำแหน่งไม่มีอยู่ในอำนาจกรมสวัสดิการกองทัพบก แต่อยู่ในอำนาจของผบ.ทบ. คนเดียวเท่านั้น และให้ได้เฉพาะผบ.ทบ. หรืออดีตผบ.ทบ. และต้องทำคุณงามความดีให้กับกองทัพบก แต่หากเป็น ผบ.ทบ. และอดีตผบ.ทบ. ที่ไม่ทำคุณงามความดีให้กองทัพบกเขาก็ไม่ให้อยู่ และเมื่อผบ.ทบ.อนุญาตแล้วก็เป็นบ้านรับรอง ที่จะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ และสามารถจัดสิทธิประโยชน์ค่าน้ำค่าไฟ ยาม และสิ่งอื่นให้ได้ด้วย” นายวิษณุ กล่าว
