“นพ.สุกิจ” เผยมาตรการป้องกันโควิดรัฐสภา ย้ำทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน “โควิดไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเรื่องของประเทศ”
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 ธันวาคม ที่รัฐสภา นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงเรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส covid-19 ว่า ตอนนี้ได้มีหลายคนแสดงความเป็นห่วง ต่อมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด 19 ของรัฐสภา ซึ่งมาตรการที่ผ่านมาถือว่ารัดกุม แต่ต้องยอมรับว่าระยะหลังปฏิบัติหละหลวม ทำให้ต้องกำหนดมาตรการใหม่อีกครั้ง โดยต้องติดตามสถานการณ์ 14 วันนับจากนี้ อาคารรัฐสภามีทางเข้าหลายทาง แต่สำหรับทางเข้าหลักจะมีเครื่องสแกนและวัดอุณหภูมิและย้ำให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ส่วนกรณีของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรยังคงยืนยันให้ส.ส.ยังต้องเว้นระยะห่างในการนั่งประชุมตามเดิม โดยทุกคนยังต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นส.ส.ที่ทำหน้าที่อภิปราย ทั้งนี้ที่น่าเป็นห่วง คือ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ ที่มีวาระการประชุมจำนวนมากจนเกิดความแออัด ซึ่งไม่สามารถรักษาระยะห่างไม่ได้ จึงขอให้สวมหน้ากากตลอดการประชุม และขอความร่วมมือลดจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมด้วยการลดวาระการประชุม เพื่อให้มีผู้เดินทางมาชี้แจงน้อยลง โดยจะนำเรื่องไปหารือกับประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
นพ.สุกิจ กล่าวว่า สำหรับข้าราชการที่ทำงานอยู่ ปัจจุบันอนุโลมให้ไม่สวมหน้ากากเฉพาะเวลาการทำงานภายในห้องทำงาน แต่หากออกจากพื้นที่ทำงาน กรณีระหว่างเดินทางภายในอาคารรัฐสภาจะต้องสวมหน้ากาก นอกจากนี้ ภายในห้องแถลงข่าวขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากทุกคนเพราะเราไม่มีทางทราบได้เลยว่าบุคคลที่มาแถลงข่าวนั้นสัมผัสกับอะไรมาบ้าง คนที่มาแถลงข่าวจะต้องสวมหน้ากากยกเว้นตอนกล่าวคำแถลงและขอให้มีผู้ร่วมแถลงข่าวไม่เกิน 10 คน
“ถ้าจำนวนคนยิ่งมากยิ่งมีความเสี่ยง ซึ่งปัจจุบันได้ใช้มาตรการทำงานแบบเหลื่อมเวลา และการทำงานจากที่บ้าน ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ติดตามส.ส.และรัฐมนตรีก็ขอความร่วมมือให้ลดจำนวนลง โดยให้ส.ส. 1 คนมีผู้ติดตามแค่เพียงคนเดียว มาตรการเหล่านี้จะมีการปรับไปตามสถานการณ์ แม้ที่ผ่านมาในรัฐสภายังไม่มีผู้ติดเชื้อ แต่ยังต้องดำเนินมาตรการเหล่านี้ต่อไป เพราะหากเกิดการติดเชื้อขึ้นมาจะมีผลต่อการประชุมสภาที่จะต้องงดและเกิดความเสียหายอย่างมาก การลงโทษส.ส.ที่ไม่ให้ความร่วมมือคงทำไม่ได้ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของส.ส. อย่างไรก็ตามนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จะกล่าวย้ำในที่ประชุมเพื่อขอความร่วมมือ เพราะทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน โควิดไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเรื่องของประเทศ ไม่เหมือนเป็นมะเร็งที่เมื่อเป็นแล้วก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว”