พลันที่พรรคเพื่อไทยตอบปฏิเสธการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งภายในคณะกรรมการ ”สมานฉันท์” อันขับเคลื่อนโดย นายชวน หลีกภัย แนวโน้ม ของคณะกรรมการก็เริ่มส่อแววว่า ”ไม่” สมานฉันท์ขึ้นมาโดยปริยาย
สังคมอาจคิดและประเมินจากบทบาทของ ”เยาวชนปลดแอก” ว่าเป็นคู่แห่งความขัดแย้งที่สำคัญ
เป็นการประเมินจากสภาพความเป็นจริงของเดือนกรกฎาคม ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กระทั่งพัฒนามาเป็น ”คณะราษฎร 2563” ในเดือนตุลาคม
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงอันหนักแน่นและจริงจังปัญหาและความ ขัดแย้งเริ่มมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และต่อ เนื่องมายังก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
หากระบุอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ ความขัดแย้งที่มีต่อพรรคไทยรักไทย ความขัดแย้งที่มีต่อพรรคพลังประชาชน กระทั่งเป็นความขัด แย้งซึ่งต่อเนื่องมายังพรรคเพื่อไทย
ในเมื่อพรรคเพื่อไทยปฏิเสธการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งภายในคณะกรรมการ ”สมานฉันท์” เสียแล้วทุกอย่างก็จบ
หากดูกระบวนการเกิดขึ้นและความพยายามในการขับเคลื่อนสิ่งที่เรียกว่าคณะกรรมการ ”สมานฉันท์” ก็จะมองเห็นว่าดำเนินมาด้วยความไม่ราบรื่นตั้งแต่เบื้องต้น
ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอและ นายชวน หลีกภัย ในฐานะประธานรัฐสภาขานรับเหมือนกับทุกอย่างสดสวยกาววาว
ยิ่งเมื่อ นายชวน หลีกภัย ต่อสายไปยัง ”อดีต” นายกรัฐมนตรีสังคมก็เริ่มมองเห็นความหวังปรากฏขึ้นริบหรี่ ไม่ว่าจะมาจาก นายอานันท์ ปันยารชุน ไม่ว่าจะมาจาก นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
แต่เมื่อปะทะเข้ากับกระแสต้านอย่างรุนแรงจากพรรคพลังประชารัฐ จากภายใน 250 ส.ว. สังคมก็สัมผัสได้ในอุปสรรคและขวาก หนามที่สำคัญ
อย่าได้แปลกใจหากจะมีการปฏิเสธจากพรรคก้าวไกล
อย่าได้แปลกใจหากจะมีการปฏิเสธอย่างเป็นทางการมาจาก พรรคเพื่อไทยอันเท่ากับเป็นการปิดเกมไปโดยปริยาย
เมื่อนำกรรมการ ”สมานฉันท์” ชุด นายชวน หลีกภัย เทียบกับกรรมการ ”สมานฉันท์” ชุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็จะมองเห็นอาการ บิดเบี้ยวอย่างเด่นชัด
เป็นความบิดเบี้ยวที่สรุปได้เลยว่าไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้นได้อย่าง องอาจในทางเป็นจริง