‘ษัษฐรัมย์’ ชี้ความเหลื่อมล้ำทำแนวคิดสังคมนิยมเบ่งบาน จวก ส.ส. กล้าหาญไม่เท่า น.ศ.
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่ห้องประชุมมูลนิธิ 14 ตุลา แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ร่วมกับม็อบเฟสต์ จัดกิจกรรม ‘ยกเลิก 112 สิ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง’ โดยเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. มีการจัดเสวนาหัวข้อ ‘การปฏิรูปสถาบันนำไปสู่รัฐสวัสดิการอย่างไร’
ในตอนหนึ่ง นางศรีไพร นนทรีย์ ตัวแทนกลุ่มแรงงาน กล่าวว่า คนงานมีปัญหามาก หากเกิดคดีความ ในอดีตสามารถเดินทางไปศาลจังหวัดได้ แต่ปัจจุบัน ต้องไปศาลแรงงาน หากอยู่สมุทรปราการ ต้องไปศาลแรงงานสระบุรี หากอยู่นครปฐม ต้องไปศาลแรงงานที่กาญจนบุรี เป็นต้น สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน เวลาแรงงานคุยกัน ไม่ได้นึกถึงเฉพาะความมั่นคงในโรงงานเหมือนก่อน แต่ไปถึงประเด็นเรื่องชีวิตหลังเกษียณ และรัฐสวัสดิการแล้ว ตนขอเล่าชีวิตส่วนตัว ซึ่งบิดาเป็นทหารผ่านศึก ผ่านสงครามเวียดนาม ในภายหลังมาเป็นชาวนา สิ่งที่พ่อได้คือ ค่ารักษาพยาบาล ครั้งละ 150 บาท ปีละไม่เกิน 800 บาท ยุคนั้นยังไม่มีโครงการ 30 บาท เมื่อเสียชีวิต ได้ 5,000 บาท นี่คือเรื่องน่าเศร้า ตนไม่ได้เห็นด้วยกับสงคราม แต่ทหารที่ปกป้องบ้านเมืองกลับได้รับเพียงเท่านี้ ตนสนับสนุนให้ปฏิรูปสถาบัน จัดรัฐสวัสดิการ ขอให้ภาษีของประชาชนกลับสู่คนยากจน หากมีรัฐสวัสดิการ นักศึกษาเรียนฟรี จะได้ไม่ต้องไปกู้ เป็นหนี้เป็นสิน สำหรับพวกตน เป็นแรงงานที่ตัดเสื้อผ้า รองเท้าราคาเป็นแสน ทุกวันนี้ตนยังไม่มีที่ดินของตัวเอง แรงงานสร้างบ้านเมือง คนเหล่านี้มีความสำคัญ เมื่อไหร่จะได้รับความสนใจและให้คุณค่า
ผศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ทำไมแนวคิดสังคมนิยมเบ่งบานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เหตุผลก็เพราะความเหลื่อมล้ำในประเทศมีมากเกินไป รัฐไม่สมเหตุสมผล ตนกวาดสายตาดูในห้องเสวนานี้เห็นนักต่อสู้ที่สู้มา 20-30 ปี หรือมากกว่านี้ สิ่งที่อยากย้ำคือ ไม่ว่าท่านจะรู้จักสังคมนิยมแบบใด แต่เป็นหน้าที่ของนักต่อสู้รุ่นก่อนที่จะทำความเข้าใจในแนวทางของคนรุ่นใหม่ ท่านอาจเคยเจ็บปวด พ่ายแพ้มา แต่คนรุ่นใหม่พูดถึงสังคมนิยมที่จะชนะ ท่านอาจเห็นความล้มเหลว กลายเป็นเผด็จการ แต่ขอให้ดูประเทศฝั่งแสกนดิเนเวียอย่าง สวีเดน เดนมาร์ก ซึ่งมีรัฐสวัสดิการ
ผศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า ข้อเสนอสังคมนิยมประชาธิปไตย รัฐสวัสดิการ เกิดตั้งแต่ยุคปรีดี พนมยงค์ แต่ไม่สำเร็จ เพราะถูกชนชั้นนำต่อต้าน พวกเขาไม่เข้าใจว่า คนอดอยากเป็นอย่างไร นักสังคมประชาธิปไตยอย่างนายเตียง ศิริขันธ์ ถูกเผด็จการคร่าชีวิต 60 กว่าปีต่อมา นางสาวจุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรือ อั๋ว ซึ่งเป็นเหลน ยังถูกดำเนินคดี ประเทศนี้น่าเศร้า วันนี้กระแสสังคมนิยมพุ่งสูง ก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2516-2519 แนวคิดดังกล่าวก็พุ่งแรง ไม่ใช่เพราะเท่ ไม่ใช่เพราะชิก แต่เพราะเป็นยุคสมัยแห่งความเสมอภาค แต่เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ความเสมอภาคกลายเป็นสิ่งผิดปกติในไทย วันนี้ บางคนกลายเป็นสลิ่ม รับใช้เผด็จการ เช่น นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งเคยร่วมเหตุการณ์ 6 ตุลา วันนี้มารับใช้เผด็จการ บางคนเหยียบความฝันของเพื่อนไปมีชีวิตสุขสบายอย่างที่เราเอื้อมไม่ถึง แต่เพื่อนตาย
จากนั้น ผศ.ดร.ษัษฐรัมย์กล่าวถึงนักศึกษาที่โดน แจ้งความ ม.112 จากการปราศรัย โดยกล่าวว่า ตนอยากบอก ส.ส.ในสภา ว่าช่างเป็นเรื่องน่าอายที่ ส.ส. ไม่กล้าหาญเท่านักศึกษาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น เพนกวิน อั๋ว รุ้ง และคนอื่นๆ พวกเขากล้าหาญมากในการพูดเรื่องความเสมอภาค ในการผลักดันยกเลิก ม.112 เดินหน้าความฝันสามัญของประชาชน คือรัฐสวัสดิการ
“พวกเขากล้าหาญมาก เขายืนยันในสิ่งที่ผู้มีอำนาจ มีอภิสิทธิ ไม่กล้ายืนยัน สำหรับคนขับแท็กซี่ แม่ค้า สามารถแปะป้ายได้ว่า ขอไม่รับ ไม่ขาย ตำรวจ ทหารในเครื่องแบบ นี่คือสิ่งที่คนตัวเล็กตัวน้อยทำได้ ที่ผ่านมาชนชั้นนำกดให้คนยอมจำนน วันนี้สิ่งที่คนธรรมดาทำได้ อย่างประเทศเพื่อนบ้าน คือ อินเดีย นัดหยุดงานร้อยกว่าล้านคน นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ส่วนชิลี หยุด 3 วัน เพื่อให้รู้ว่ามูลค่าความมั่งคั่งในประเทศ เราคือคนสร้าง แรงงานอิสระรวมตัวกันเพื่อส่งสัญญาณว่าสู้ครั้งนี้ต้องชนะ ถ้าเราไม่คุยกันในวันนี้ พวกอภิสิทธิชนจะคิดแทนเรา” ผศ.ดร.ษัษฐรัมย์กล่าว และเน้นย้ำการผลักดันรัฐสวัสดิการจากบาทแรกถึงบาทสุดท้าย รวมถึงการปฏิรูปสถาบัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเสวนาดังกล่าว มีผู้เข้าฟังล้นห้อง จากนั้น เวลา 13.00 น. มีการฉายวีดีโอปาฐกถาพิเศษ โดย รศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
สำหรับบรรยากาศในช่วงบ่าย ยังคงมีการเสวนาอีก 1 หัวข้อ คือ ‘เสวนา 112’ ในขณะที่บรรยากาศภายในอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา มีการจัดเครื่องเสียงและเปิดเพลงสนับสนุนประชาธิปไตยอย่างคึกคัก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมในช่วงเย็น ซึ่งจะมีการแสดงดนตรี
