‘เพนกวิน’ ชี้ ม.112 คือ ‘ดาบด้าน’ ใช้การไม่ได้ เปรียบเหมือนการเปลื้องผ้า ‘ประจานชาวโลก’

‘เพนกวิน’ ชี้ ม.112 คือ ‘ดาบด้าน’ ใช้การไม่ได้ เปรียบเหมือนการเปลื้องผ้า ‘ประจานชาวโลก’ โดยไม่ต้องพูดอะไร

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ สืบเนื่องในวันรัฐธรรมนูญ “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ร่วมกับ “ม็อบเฟสต์” (Mob Fest) จัดกิจกรรม “ยกเลิก 112 สิ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง” โดยมีกิจกรรม อาทิ วงเสวนาวิชาการ นิทรรศการ ม.112 สลับดนตรี และการแสดงงานศิลปะ

เวลา 14.00 น. มีการเสวนารอบที่ 2 ในหัวข้อ ม.112 ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

โดย เวลา 15.30 น. นายพริษฐ์ ชิวหารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำราษฎร กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอเล่าประสบการณ์รับทราบข้อกล่าวหา ม.112 ของตัวเองบ้าง ปกติแนวทางเราจะ ไม่เซ็น เพราะไม่ยอมรับอำนาจเผด็จการ จนตอนหลังไป สภ.นนทบุรี และ เมื่อวานนี้ที่ แจ้งวัฒนะ ตำรวจถามก่อนว่าครั้งนี้ก็จะไม่เซ็นอีกแล้วใช่ไหม เราจึงคิดว่า ถ้าไปแล้วไม่เซ็น จะเข้าทาง จึงเซ็นให้ว่า “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

นายพริษฐ์กล่าวต่อว่า มาตรา 112 ไม่ใช่กฎหมายทั่วไป ตามกระบวนการตามปกติ แต่ ม.112 คือ คดีนโยบาย ที่ทำให้มั่นใจ กล่าวคือ เมื่อไล่ดู คดี ม.112 ช่วงแรกที่โดน คือการชุมนุม 19-20 กันยายน ทวงอำนาจคืนราษฎร เวทีนั้นเดิมทีเราถูกตั้งข้อหามาตรา 116 ระยะเวลาผ่านไป เกือบ 4 เดือน เหมือนเพิ่งมาคิดได้ว่า ผิด ม.112 ด้วย จึงตั้งข้อหาทีหลัง ถามว่า สัมพันธ์อย่างไร เพราะช่วงที่โดน ม.116 ยังเป็นช่วงที่นายกฯ บอกว่า จะไม่ใช้ ม.112 ผ่านไปไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์บอกจะใช้กฎหมายทุกมาตรา ทันใดนั้นมีการแจ้งข้อหา ม.112 จะเป็นลักษณะนี้ เหมือนที่ สภ.นนทบุรี และ สน.ชนะสงคราม เมื่อวันก่อน ดังนั้น ชัดเจนว่าคดีประเภทนี้ เป็นการดำเนินคดีแบบชักเข้า -ชักออก ตั้งเพิ่ม-ถอนออก คือการดำเนินคดีตามใบสั่ง ไม่ใช่ตามกระบวนการ

Advertisement

“การใช้ ม.112 คือการจำกัดสิทธิเสรีภาพด้วยดาบ จึงถูกประนามจากทั่วสารทิศอย่างมาก ความน่ากลัว ของ ม.112 ในอดีต ยังจำได้ว่า คือกฎหมายที่น่ากลัวมาก รุ่นที่เคลื่อนไหวก่อนหน้า พูดตรงกันว่า คดีอะไรก็ได้ แต่ ม.112 ขอหนี นี่คือสิ่งที่พูดช่วงปี 2558 ตอนนี้แข่งกัน ใครโดน ม.112 มากสุด เพื่อนเลี้ยงฉลอง กฎหมายตัวเดิม แต่ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่ตัวกฎหมาย การที่ทีมงานโดนต่างเห็นเป็นเรื่องสนุก เห็นเป็นเหรียญตรา พูดกันว่า ถ้าแจกเหรียญกล้าหาญ ตัวผมคงได้มากกว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้ว

เพราะเรามาถึงจุดที่อยู่ใน Echo Chamber จุดเสื่อมที่ไม่มีใครทนได้ หรือแม้แต่ชนชั้นอนุรักษ์นิยม อีกประการ นับแต่ 10 สิงหาคมเป็นต้นมา ได้ยกระดับการพูดออกไป ข้ามจุดการปรับทัศนคติไปแล้ว คนกล้าพูดตรงๆ มากขึ้น เสรีภาพประชาชนสูงขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยทั้ง 2 นี้ ม.112 แทนที่จะเป็นดาบ จึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนเยาะเย้ยมากขึ้น เพราะ ม.112 กลับมาช่วงที่ประชาชนออกมาเรียกร้อง ทำให้สังคมไทยและโลกเห็นท่าทีที่ชัดเจน

การเมืองประเทศไทยตอนนี้ เหมือนเรากำลังขับรถ ตรงไปเจอสามแยก แยกหนึ่งเลี้ยวซ้ายเป็นถนนชื่อว่า ‘การปฏิรูป’ เลี้ยวขวา คือถนนชื่อว่า ‘การปฏิวัติ’ ราษฎรได้สร้างแยกนั้นมา ซึ่งการปฏิรูปคือการแก้ไข ให้ดีขึ้น ตอนนี้ประเทศไทยต้องตัดสินใจเลี้ยว ราษฎรเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อน แต่ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจว่าจะหักพวงมาลัยไปทางไหน” นายพริษฐ์กล่าว และว่า

Advertisement

ที่ผ่านมา เรื่องการปฏิรูป คนที่ออกมาเรียกร้องคือประชาชน แต่คนที่ทำให้เกิดขึ้นคือ สถาบัน ที่ยอมปฏิรูปตัวเอง ในอดีตการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือการต่อสู้บนโจทย์ฝ่ายรัฐมาตลอด ปี 2557 เรามาต้านการรัฐประหาร เราไม่ได้รัฐประหารเอง แต่ถูกตั้งโจทย์ขึ้น ปี 2549 ตั้งโจทย์ประชามติขึ้นมา แต่ ณ วันนี้ เกมเปลี่ยน เราเป็นคนตั้งโจทย์ ว่าจะปฏิรูป หรือ ไม่ปฏิรูป ซึ่งองคาพยพต้องตอบให้ได้ แต่ไม่แน่ใจว่า การที่ ม.112 ถูกแจกอย่างถ้วนหน้านั้น นี่จะเป็นคำตอบหรือไม่

หลายคนสงสัยว่า การกลับมา ของ ม.112 จะกระทบต่อกระบวนการเคลื่อนไหวของราษฎร มากน้อยแค่ไหน ความจริงต้องขอบคุณที่นำมาตรานี้กลับมาใช้ เพราะทำให้หลายคนรู้จัก หลายคนรู้จักในฐานะตำนาน พอมีการใช้ ม.112 อีกครั้ง กลายเป็นดาบที่ด้านแล้ว ความกลัวไม่เกิดขึ้น การที่ชักดาบด้าน ผลคือ 1.ฟันไม่ได้ 2.ทำให้เห็นหน้าตาชัดเจนว่าดาบด้าน สนิมขึ้นแล้ว ดังนั้น การที่ใช้อีกครั้ง จึงเป็นการสาธิตให้มวลชนที่สังเกตการณ์ได้ประจักษ์เห็นความเลวร้ายทั้งหมด

“ตราบใดที่ปัญหายังไม่ถูกแก้ไขอย่างถึงรากถึงแก่น เราจะต้องสู้ต่อไป การใช้ ม.112 เหมือนการที่ศักดินาประจานตัวเอง แก้ผ้าต่อหน้าชาวโลก โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรเลย

ยืนยันว่า ม.112 ส่งผล คือ ส่งผลให้คนออกมามากขึ้น ม.122 คงไม่สามารถสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของราษฎรทั้งหลายได้ ถ้าผมเป็นกุนซือฝ่ายนั้นจะไม่เอามาใช้ เพราะผลในเชิงหวาดกลัวก็ใช้ไม่ได้ กลายเป็นน่าขบขัน ดาบที่เสื่อมแล้วยิ่งเสื่อมไปอีก หากจับผมเข้าไปในเรือนจำอีกรอบ พี่น้องมวลชนยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อน การเคลื่อนไหวไม่สิ้นสุด ไม่ขึ้นโดยใครคนหนึ่ง ยิ่งจับกุมโดยไม่ยุติธรรม เชื่อว่าสถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้น เพราะพี่น้องราษฎรไม่ถอยแน่นอน”

นายพริษฐ์กล่าวด้วยว่า ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย กฎหมายที่ตั้งขึ้นเพื่อปิดกั้นการแสดงออก มีทุกยุคสมัย ไม่ว่า ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็กล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันก็เช่นกัน แต่ทุกการปิดกั้น กดขี่ ย่อมมีการต่อสู้ และส่งไม้โยนลูกมาเรื่อยๆ คำว่า ต่อสู้กับศักดินา ไม่ได้เพิ่งมี

“ภารกิจต่อสู้ตอนนี้ก็โยนมาจากปี 35 จาก คนเดือนตุลา ถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาทำให้สังคมไทยตกผลึกตะกอนความคิด ซึ่ง 10 ข้อเสนอของแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ผมเขียนเอง เป็นการตกผลึก ทบทวน และเรียบเรียงใหม่ วันนี้ที่เราพูดถึง ม.112 ก็ต้องยกความชอบให้คณะนิติราษฎร์ด้วย ซึ่งตอนนั้นขอให้แก้ไข ม.112 มาถึงทุกวันนี้ กระแสสังคมเปลี่ยนไป จากแก้ไข เป็นยกเลิก ม.112 และเราไม่ใช่กลุ่มแรกที่ผลักเพดาน เคารพนับถือว่ายากกว่าสมัยนี้มาก เอาแค่ไม่กี่เดือน การตัดสินใจผลักเพดาน ก็คำนวณมาอย่างดีแล้ว ใครจะรู้ว่า #ยกเลิก112 จะขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์ ไทยแลนด์

เซอร์ไอแซก นิวตัน บอกว่า เขาสำเร็จได้ เพราะยืนอยู่บนบ่าของยักษ์ ผมเช่นกัน คือการยืนอยู่บนบ่า พี่สมยศ คนเดือนตุลา อาจารย์ปรีดีี ทุกคนคือคนที่ปูทางมาถึงปัจจุบัน ต้องขอบคุณผู้กล้าในยุคนั้นทุกคน” นายพริษฐ์ ระบุ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image