อาการหยัน ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปยังบทบาทอภิปราย เพื่อไทย
แม้จะเผชิญกับคำขู่ อันมาจากพรรคเพื่อไทยว่าญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจครั้งใหม่ กระนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย
อาจเพราะผ่านการเป็นนายกรัฐมนตรีมาเป็นปีที่ 6 แล้วหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
และผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้วเมื่อปี 2562 หนหนึ่ง
คำขู่อันมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไม่ว่าจะเป็น นายสุทิน คลังแสง ก็เสมอเป็นเพียงเงื้อง่าราคาแพง
ที่บอกว่าเล่นงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เสมอเป็นเพียงขี่ม้าเลียบค่าย และในที่สุดก็มิได้ระคายผิวทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุ วรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
บทบาทของขุนพลนักพูดประเภท ‘น้ำท่วมทุ่ง’ 2 คนจากพรรค เพื่อไทย ไม่เพียงแต่กินเวลาคร่อมไปยังพรรคฝ่ายค้านอื่น
หากแต่ยังทำให้ ‘ข่าวลือ’ ที่ปลิวว่อนใกล้เคียงกับ ‘ความจริง’
ปัญหามิได้อยู่ที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น หากในที่สุดแล้วทุกสายตาพุ่ง เข้าไปยังปัญหาที่ดำรงอยู่ภายในโครงสร้างของพรรคเพื่อไทยอันเป็น พรรคฝ่ายค้านหลัก
เป็นปัญหาอันเนื่องแต่การบริหารจัดการ ว่าการจัดลำดับความสำคัญของการอภิปรายว่าน้ำหนักอยู่ตรงไหน เป็นของใคร
ปัญหานี้หากติดความเคยชินของการเมืองแบบ ‘เก่า’ ก็อาจมองไม่เห็น แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับกระบวนการบริหารจัดการในแบบของพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกลก็จะเห็นได้ชัด
ชัดว่ากระบวนการของพรรคเพื่อไทยดำเนินไปในแบบ ‘อะนาล็อก’ ทางการเมือง ชัดว่ากระบวนการของพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกลดำเนินไปในแบบ ‘ดิจิทัล’
ตราบใดที่ภายในพรรคเพื่อไทยมิได้มีการปรับปรุงและพัฒนา ตราบนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้แต่ยิ้มหยันอย่างเย้ยๆ
นี่ย่อมเป็นการบ้านโดยตรงไปยังภายในของพรรคเพื่อไทย
เมื่อพ้นจาก ‘ยุทธศาสตร์’ แบบเก่า คำถามก็คือ พรรคเพื่อไทยได้ก้าวไปสู่ยุทธศาสตร์ ‘ใหม่’ ในทางการเมืองอย่างไร
หรือยังตรึงอยู่กับการเมืองในยุค ‘อะนาล็อก’ อยู่
หากยังเป็นเช่นนั้นคนที่จะหัวเราะมิได้มีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น หากกระทั่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ต้องส่งเสียง หยันออกมา
ปัญหาการบริหารจัดการ ปัญหาการปรับกระบวนท่าและระบบในการอภิปรายต่างหากคือปมของพรรคเพื่อไทย