ไม่ว่าในที่สุดแล้วผลการเลือกตั้งนายกอบจ.และสมาชิกอบจ.ในวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม จะออกมาอย่างไร เป็นชัยชนะของคนจาก ”บ้านใหญ่” เหมือนเดิม หรือว่าเป็นคน ”หน้าใหม่”
กระนั้น ก็รับรองได้เลยว่าสถานการณ์การดำรงอยู่ในแต่ละจังหวัด จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
คำว่า “ไม่เหมือนเดิม” ในที่นี้ก็คือ แม้ว่านายกอบจ.จะเป็นคนหน้าเดิมจาก ”บ้านใหญ่” ที่เคยดำรงตำแหน่งต่อเนื่องมาอย่างยาวนานแต่องค์ประกอบก็จะไม่เหมือนเดิม
เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ย่อมจะมีคน ”หน้าใหม่” เข้ามาอยู่ในฐานะเป็น ”สมาชิกสภาอบจ.” นั่นเท่ากับกลไกของการตรวจสอบและถ่วงดุลก็จะไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นมา
ที่สำคัญเป็นอย่างมาก็คือ โครงสร้างของ ”รัฐราชการรวมศูนย์” จะถูกท้าทาย
ตรงนี้แหละที่ทำให้ความเคยชินเดิมจะต้องถูกตรวจสอบ
เพราะอย่างน้อย ”คนหน้าใหม่” ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มและคณะใดจะไม่ยอมให้ ”ความเคยชิน” นั้นได้ดำรงอยู่อย่างสบาย
ตลอดเวลา 1 เดือนของการรณรงค์หาเสียงก็ต้องยอมรับในบทบาทหัวหมู่ทะลวงฟันของคณะก้าวหน้าและผู้สมัครใน 42 จังหวัดทั่วประเทศ
เป้าหมายใหญ่มิได้เป็นการทวงคืนอำนาจจาก ”บ้านใหญ่” หากแต่เป็นการทวงคืนอำนาจจาก ”รัฐราชการรวมศูนย์”
ไม่ว่าจะเป็นบทบาทและการเคลื่อนไหวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทและการเคลื่อนไหวของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ล้วนเพื่อเป้าหมายนี้
อย่างน้อยที่สุดก็ต้องยอมรับว่าบทบาทอย่างที่พรรคอนาคตใหม่เคยกระทำในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ก็ได้เห็นในห้วงการเลือกตั้งวันที่ 20 ธันวาคม
นี่คือบาทก้าวที่ 2 ในทางการเมืองของการสถาปนาการเมืองใหม่ให้ลงหลักปักฐานขึ้นและสร้างความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
นี่คือการเริ่มต้นทะลวงเข้าไปยัง ”รัฐราชการรวมศูนย์”
อย่าว่าแต่คนของคณะก้าวหน้าที่สืบทอดและพัฒนาแนวทางของ พรรคอนาคตใหม่เลย แม้กระทั่งคนของพรรคเพื่อไทยก็จะมีส่วนอย่างสำคัญในการหนุนเสริมหลักการใหม่นี้
ผลการเลือกตั้งจะเป็นหลักหมายและเป็นเครื่องมืออย่างสำคัญในการต่อกรกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นี่คือจังหวะก้าวและหมุดหมายอันทรงความหมายยิ่ง