แกนนำราษฎร ปฏิเสธข้อหา ‘พ.ร.บ.ชุมนุม-พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’ ชี้คดีย้อนแย้ง (ชมคลิป)

‘7 แกนนำราษฎร’ ปฏิเสธข้อหา ‘พ.ร.บ.ชุมนุม- พ.รก.ฉุกเฉิน’ ชี้ คดีย้อนแย้ง เตรียมร่างหนังสือ ให้การ 19 ม.ค.นี้

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มกราคม ที่ สน.สำราญราษฎร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำ 7 รายได้แก่ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน, นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือ ฟอร์ด แกนนำคณะประชาชนปลดแอก, น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์, น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ อดีตประธานสหภาพนักเรียน นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.),  น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ ลูกเกด แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย, นายและ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เดินทางเข้ารับทราบข้อหา คดีอาญา 555/2563 ในความผิดฐาน ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งเดินทางมารอให้กำลังใจ ตั้งแต่ก่อนเวลา 10.00 น.

เวลา 13.15 น. นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง กล่าวว่า มารับทราบข้อกล่าวหา พ.ร.บ.ชุมนุม และ พ.รก.ฉุกเฉิน วันนี้มา 7 คน แต่โดนข้อหาทั้งหมด 10 คน คนที่รายงานตัวไปแล้ว คือนายอานนท์ นำภา, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง และ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน โดยทั้ง 3 มีข้อหาเพิ่มเติม ทำให้เสียทรัพย์ คือต้นไม้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สองแสนกว่าบาท น่าจะนับไม้กันวาดร่วงกี่ใบ เป็นคดีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม และเกี่ยวเนื่องมาถึงวันที่ 14 ตุลาคม

“มีข้อหาที่ขัดแย้งกัน บอกเราว่าไม่ได้แจ้งจัดการชุมนุม แต่มีอีกข้อหาหนึ่ง คือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการชุมนุม โดยเบื้องต้นปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จะให้การเป็นหนังสือ ภายในวันที่ 19 มกราคมนี้” นายภาณุพงศ์กล่าว

Advertisement

ด้าน นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือ ฟอร์ด แกนนำคณะประชาชนปลดแอก กล่าวว่า ประเด็นที่ย้อนแย้งอย่างหนึ่ง ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะเขียนเอาไว้ว่า เมื่อประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะบังคับใช้พรบชุมนุมสาธารณะไม่ได้ แต่กลายเป็นว่า วันนี้เราโดนควบทั้งสองคดี เป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากๆ

“ความจริง เวลาประกาศภาวะฉุกเฉิน พ.ร.บชุมนุมจะไม่บังคับใช้ได้ แต่ครั้งนี้บังคับใช้ได้ เท่ากับว่ามีปัญหาบางอย่าง ว่าทำไมกรรมเดียวกันในภาวะฉุกเฉิน ถึงเอาพ.ร.บ.ชุมนุม มายัดไว้ในข้อหา” นายทัตเทพกล่าว

ด้าน นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน กล่าวว่า วันที่ 14 ตุลาคม ผมติดคุกไปแล้ว ผมก็ยังโดนอีก เขาก็หาเหตุมาให้ได้ ผมรู้สึกว่าคดีมันเลอะเทอะมากทุกวันนี้ อยากให้พี่ๆ ตำรวจคุยกันหน่อย มันเลอะเทอะจนเกินไป เพราะเหตุวันที่ 14 วันที่ 13 ผมโดนจับเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว แล้วก็มาแจ้งความกันโดยอ้างว่าวันที่ 8 ไปเชิญชวน คือจะหาทุกวิถีทาง นี่เป็นเรื่องที่ทำให้กฎหมายหมดความน่าเชื่อถือ

“จะบอกว่าคนที่ทำร้ายความยุติธรรม คือเจ้าหน้าที่กันเอง โดยการใช้กฎหมายที่ย้อนแย้งกัน ทางกฎหมาย พ.ร.บ.ที่ฟอร์ดพูดก่อนหน้านี้ และการพยายามที่จะเอาผมเข้ามาในคดีนี้ด้วย จับผมอยู่ในเรือนจำ ยังเอาเหตุวันที่ 8 มาอีก เขาไม่ได้ดูว่าคุณทำอะไรผิด เขาดูว่าคุณเป็นใคร แล้วพยายามจะทำอะไรให้เข้าองค์ประกอบความผิด นี่คือปัญหาที่ทำไมสำนวนคดีจึงแปลกๆ ถึงฮาๆ ทำไมถึงเพี้ยน ตลกจัง  เพราะเป็นคดีที่ที่พยายามเอาองค์ประกอบเหล่านี้เข้ากฎหมาย ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้มีปัญหา จะทำให้กฎหมายขัดความศักดิ์สิทธิ หมดความชอบธรรม ซึ่ง ณ วันนี้ยิ่งไม่มีความชอบธรรมอยู่แล้ว อยากฝากเรื่องการใช้กฎหมายทำให้เนียนๆ หน่อย ถ้าอยากจะกลั่นแกล้งกัน อยากจะปิดปาก ก็ทำให้เนียนๆ หน่อย อย่าเอาหลายข้อกล่าวหามาย้อนแย้งกันจนทำให้ประชาชนรู้เห็นง่ายเกิน ตาสว่างจ้าเกินไป เรื่องนี้ก็ควรระมัดระวังด้วย” นายจตุภัทร์กล่าว

เมื่อถามว่า ในฐานะแกนนำที่เคลื่อนไหวทางการเมือง มองมาตรการโควิดของภาครัฐขณะนี้อย่างไร

น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ อดีตประธานสหภาพนักเรียน นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) กล่าวว่า เรียกว่ายังไม่มีมาตรการอะไรออกมารองรับความเดือดร้อนของประชาชน อย่างเช่นการแถลงข่าว ก็เลือกที่จะปัดความรับผิดชอบ และ ใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แสดงให้เห็นถึงความเป็นรัฐราชการรวมศูนย์ โยนให้เป็นอำนาจหน้าที่ของส่วนจังหวัด หรือเรื่องประกาศไม่ล็อกดาวน์ เพราะไม่อยากเยียวยาประชาชน มองว่า เป็นมาตรการที่เรียกว่าไม่ใช่มาตรการดีกว่า ยังคงมองข้ามประชาชนเช่นเดิม ทั้งที่ประเทศไทยมีงบประมาณหลายส่วนที่สามารถเจียดมาดูเรื่องโควิดได้ เช่น งบประมาณของกองทัพ

“อยากให้มีวัคซีนในประเทศอย่างเร็วที่สุด เพราะประเทศ ในเอเชียตะวันออกเฉียบใต้ มีวัคซีนกันแล้ว แต่ของไทยยังไม่สามารถนำวัคซีนเข้ามาได้ด้วยเหตุผลของรัฐบาล เรื่องความหละหลวมต่างๆ ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งบริเวณชายแดน หรือบ่อน ยังคงมีเหมือนเดิม ในการมองประชาชน ประชาชนยังคงถูกมองข้ามเหมือนเดิม” น.ส.จุฑาทิพย์กล่าว

เมื่อถามว่า มาตรา 112 จะกระทบต่อการเคลื่อนไหวครั้งนี้หรือไม่

น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ กล่าวว่า การใช้กฎหมาย ม.112 ไม่ได้กระทบกับการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว เราเห็นชัดเจนแล้วว่าพลังของประชาชน เขาไม่ได้มองว่าการใช้กฎหมายแบบนี้ของรัฐบาลถูกต้องและชอบธรรม จึงไม่มีความจำเป็นที่พวกเราจะต้องมากังวลกับกฎหมายมาตรา 112

“แต่อยากให้มองว่า การบังคับใช้กฎหมาย ม.112 ของรัฐบาลชุดนี้ รัฐบาลพยายามดึงสถาบันลงมาเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง เพราะฉะนั้น มันเป็นหน้าที่เราที่จะต้องมองว่าเหมาะสมหรือเปล่า ถูกต้องหรือไม่ที่รัฐบาลพยายามจะนำสถาบันมาเป็นกันชน รองรับแรงกระแทกจากประชาชนแทนรัฐบาล

“อยากฝากเตือนรัฐบาล หากอยากจะใช้ ม.112 เพิ่มเติม ก็ขอให้ระมัดระวังขึ้น และอยากให้ดูเสียงกระแสสังคมให้มาก ประชาชนหลายคนไม่เห็นด้วยกับกฎหมายมาตรา 112 และหลายคนมองว่ากฎหมายมาตรา 112 จำเป็นจะต้องยกเลิกได้แล้ว อยากให้รัฐบาลระมัดระวังด้วย ความจริงที่เรามารายงานตัววันนี้ก็เป็นคดีตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม เป็นเวลานานแล้ว แต่ตำรวจเพิ่งออกหมายมา เราจึงต้องมารับทราบข้อกล่าวหา และมีอีกหลายคดีที่ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังออกเพิ่ม ซึ่งเราก็กำลังรอดูกันอยู่ว่าใครจะโดนอะไรเพิ่มบ้าง” น.ส.ภัสราวลีกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image