ธัญวัจน์ ชี้ นิยามรักชาติ แบบหนังยุคเบบี้บูม ใช้ไม่ได้แล้ว 300 ล้านเอาไปดูแลปชช.ดีกว่า
เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความแสดงความเห็น กรณีรัฐบาลเดินหน้า โครงการงบ 300 ล้าน สร้างหนังเพื่อกระุต้นการตื่นรู้ โดยเฉพาะเรื่องโควิด และการรักชาติ ระบุว่า
กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ งบประมาณ 300 ล้านบาท : ทำหนังรักชาติ และ เชิดชูคนดี จะส่งผลอย่างไร วันนี้ความรักชาตินั้นต้องทันสมัย
คุณวิษณุกล่าวว่า การจัดสรรงบประมาณ 300 ล้านบาท มีความจำเป็น จะใช้เงินไม่ครบหรือไม่หมดก็ไม่เป็นไร แต่เงินดังกล่าวหากไม่ใช้อาจจะมีปัญหา เนื่องจากเป็นเงินกองทุนภาษีบาป (sin tax) หรือเป็นเงินที่ กสทช.จัดสรรมาให้ ไม่ใช่จากงบประมาณ หากไม่นำไปใช้ต้องส่งกลับคืน โดยงบประมาณ 300 ล้านบาท ถูกนำมาแบ่งเป็นโครงการต่างๆ เกี่ยวกับเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และคนพิการ หรือจะทำหนังเกี่ยวกับ โควิด-19 ก็ได้ ซึ่งก็อยากให้ทำ
“ธัญเห็นด้วยกับการจัดสรรงบประมาณกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่จะให้โอกาสการสร้างสรรค์กับคนทำงานสื่อได้นำเสนอความคิดสู่สังคม เพราะสื่อมีผลอย่างมากในการชี้นำสังคมและกำหนดทิศทางความคิดของคนในสังคม หากกองทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสรรค์อย่างแท้จริง การให้ทุนก็ต้องคำนึงถึงความหลากหลาย แต่ธัญไม่แน่ใจว่าหากมีการสร้างภาพยนตร์ในนิยามคำว่า “รักชาติ” ในแบบยุคเบบี้บูม ก็อาจไม่นำพาความสมานท์ฉันท์เกิดขึ้นจริงในสังคม”
“ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่าวันนี้ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นทางการเมืองแบบใด เราทุกคนต่างรักชาติไม่แพ้กัน หากแต่การแสดงออกที่แตกต่างด้านภาษาการสื่อสาร และ วัยที่แตกต่างกัน อาจเกิดความเข้าใจผิดว่าคนบางกลุ่มเป็น “คนชังชาติ” เสีย วันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปรวมถึงนิยามคำว่ารักชาติแบบยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังโหยหาสงคราม การฆ่าฟันกัน หรือ หนังสงครามทหาร คือความรักชาติ ก็ไม่ต่างจากการที่เราไม่เขยิบความคิดและจะกล้านิยามความรักชาติให้ทันยุคทันสมัย และที่สำคัญก้าวทันโลกใบใหญ่ที่เราอยู่ด้วย”
“เพราะนี่คือการทำให้การฆ่าฟันห่ำหั่นกันคือความโรแมนติกที่น่าพิศมัย”
“การที่กองทุนจะให้นิยามคำว่า “รักชาติ” อย่างไร แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือผลความแตกแยกในสังคม เพราะสื่อภาพยนต์สงครามการประหัตประหารดังกล่าว ย่อมมีผู้ผิด ผู้ถูก คนดี คนเลว ที่ทำให้สังคมไทยมองคนแค่เปลือกและผิวเผิน ตัดสินกันด้วยมาตรฐานบางอย่างว่าใครดี ใครเลว สิ่งเหล่านี้ไม่นำพาสู่ความสมานฉันท์ ไม่นำพาสู่ความคิดที่หลากหลาย และยิ่งนำพาประเทศไทยก้าวสู่ทางตัน ในฐานะผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน ธัญเคยถามตนเองเหมือนกันว่า เราจะมีวิธีการแบบไหน สื่อสารแบบไหนที่ทำให้ฝ่ายไม่เห็นด้วยรับฟัง และคำตอบ
ประการสุดท้าย การใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยเพื่อสร้างภาพลักษณ์ ในขณะที่ประชาชนเดือดร้อน อดตาย บ้านเมืองต้องการการจัดการงบประมาณที่มีคุณภาพ แต่รัฐกลับนำมาใช้เพื่อการนี้ อยากบอกว่าการสร้างความเชื่อมั่นแก่คนในชาติที่ถูกจุดและไม่ผิดเพี้ยนคือการ โชว์ศักยภาพของรัฐบาลออกมา ทำให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมต่างหากคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนรักชาติอย่างแท้จริง