เมื่อปริมาณน้อยกว่า ‘รัฐบาล’ ฝ่ายค้านต้องเน้นที่ ‘คุณภาพ’
เป็นอันแน่ชัดแล้วว่า ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะสา มารถดำเนินการได้ก็ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์
หากมองจาก ‘มือ’ ที่ฝ่ายค้านมีก็มิอาจทำอะไร ‘รัฐบาล’ ได้
เพราะแม้ฝ่ายค้านอันประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชน ชาวไทย เมื่อรวมกันแล้วก็มีเพียง 212 เสียง
ขณะที่กล่าวสำหรับฝ่ายรัฐบาลอันประกอบด้วย พรรคพลังประ ชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนาและพันธมิตรอีกกว่า 10 พรรคก็รวมกันได้ 277 เสียง
เป็นไปได้ยากอย่างยิ่งหากวัดจาก ‘จำนวน’ พรรคร่วมฝ่ายค้าน มิอาจเอาชนะ ‘ปริมาณ’ ที่ พรรคร่วมรัฐบาลมีอยู่ได้เลย เทียบกันแล้วก็เท่ากับ 277 ต่อ 212 เสียง
ปัจจัยจึงอยู่ที่ว่า ส.ส.ของพรรคร่วมฝ่ายค้านจะมี ‘ข้อมูล’ ที่หนักแน่นและจริงจังมากเพียงใดอยู่ในมือ
‘ข้อมูล’ และการ ‘บริหารจัดการ’ ข้อมูลต่างหากที่สำคัญ
นับแต่เลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมและมีการเปิดรัฐสภาเมื่อเดือน กรกฎาคม 2562 เป็นต้นมา ก็ต้องยอมรับว่ากระบวนการของรัฐสภา มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
รัฐสภาในยุค ‘ดิจิทัล’ แตกต่างไปจากรัฐสภาในยุค ‘อะนาล็อก’ อย่างเห็นได้ชัด
ที่เป็นเช่นนี้ไม่เพียงเพราะว่าสมาชิกรัฐสภามี ‘คนรุ่นใหม่’ เข้ามา เป็นจำนวนมาก ประการเดียว หากที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ การไหลเวียนของ ‘ข้อมูล’ ได้เบิกสถานการณ์ใหม่ในทางการเมือง
หากว่าฝ่ายค้านจะสามารถเสาะหา ‘ข้อมูล’ และสามารถในการบริหารจัดการกับ ‘ข้อมูล’ ได้อย่างเป็นระบบ ก็สามารถจะส่งผล สะเทือนได้อย่างเป็นรูปธรรม
ตรงนี้ต่างหากที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจำเป็นต้องพิจารณาร่วมกันและบริหาร ‘ข้อมูล’ ให้มีประสิทธิภาพ
คำนึงถึง ‘ผลลัพธ์’ มากกว่าที่จะเล่นลิ้นและแสดง ‘โวหาร’
ภายในกระบวนการทางการเมืองมีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้กล้าออก มาสำแดงท่วงท่าอาการในเชิงข่มขวัญ กระนั้น บรรทัดสุดท้ายย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติที่เป็นจริงในทางการเมือง
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคก้าวไกล ไม่ว่าพรรคเสรีรวมไทยจำเป็นต้องตระหนักและตระเตรียมในเรื่อง ‘วิธีวิทยา’ นี้ให้จงหนัก
นี่จึงมิได้ขึ้นอยู่กับ ‘ปริมาณ’ หากแต่ขึ้นอยู่กับ ‘คุณภาพ’
