‘ลลิตา’ วิเคราะห์รัฐประหารเมียนมา ชี้รัฐบาล NLD เหยียบเท้ากองทัพ – หวั่น ‘ซูจี’ สถาปนาตนเป็นใหญ่

‘ลลิตา’ วิเคราะห์ปม ‘รัฐประหารเมียนมา’ ชี้เหตุ เพราะรัฐบาล NLD เหยียบเท้ากองทัพ – หวั่น ‘ซูจี’ สถาปนาตนเป็นใหญ่

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ สืบเนื่องจากกรณีกองทัพเมียนมาทำการยึดอำนาจ ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเจ้าของคอลัมน์ชื่อดัง “ไทยพบพม่า” เครือ “มติชน” ได้ให้สัมภาษณ์มติชน ถึงกรณีดังกล่าว

ผศ.ดร.ลลิตาเปิดเผยว่า ส่วนตัวรู้สึกประหลาดใจ เพราะที่ผ่านมาเมียนมามีโอกาสเกิดการรัฐประหารบ่อยครั้งมาก ซึ่งหากมีเหตุการณ์ หรือความจำเป็นที่จะต้องรัฐประหารจริง เหตุใดจึงปล่อยให้ พรรคพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ปกครองประเทศไปแล้วถึง 5 ปีกว่า แล้วค่อยมาทำรัฐประหาร ซึ่งจากทฤษฎี หรือแนวคิดเกี่ยวกับการรัฐประหาร ตามปกติแล้ว ทหารจะปล่อยให้รัฐบาลพลเรือนปกครองอยู่สักระยะหนึ่ง เป็นช่วง Experimental Democracy แต่เมื่อมีเหตุการณ์แตกหัก ต้องเข้าใจว่า ผลประโยชน์ของทั้งรัฐบาลพลเรือนและทหาร มีความแตกต่างกัน

“กรณีพม่า เรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติและความปรองดอง อาจจะมีความสำคัญรองลงมา ทหารก็มีธงของเขา รัฐบาล NLD ก็มีธงของเขา และเมื่อเข้าสู่ปีที่ 6 ของการปกครองของรัฐบาล NLD ก็ค่อนข้างชัดเจนว่า ที่ผ่านมา 5 ปีกว่า การปรองดองระหว่างกองทัพ กับรัฐบาล ซึ่งยังไม่ต้องไปถึงการปรองดองกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ เฉพาะรัฐบาล กับกองทัพ กล่าวคือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อีกทั้งกองทัพและรัฐบาลลพลเรือนมีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) ที่ต่างกัน

กองทัพเองไม่ต้องการให้ พรรค NLD มีอำนาจมากจนเกินไป ก่อนหน้านี้ เวลาดีไซน์รัฐธรรมนูญ ปี 2008 กองทัพก็พยายามทุกวิถีทางที่จะกีดกันไม่ให้พรรค NLD มีอำนาจมากจนเกินไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะ พรรค NLD แต่ออกแบบรัฐธรรมนูญเผื่อเอาไว้ เพื่อไม่ให้รัฐบาลพลเรือนใดๆ ก็ตามมีอำนาจมากจนเกินไป โดยการให้โควต้า 25 เปอร์เซ็นต์กับกองทัพ และโดยการที่กองทัพมีพรรคนอมินีของตัวเอง คือพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) อีกประการ คือรองประธานาธิบดี 2 คน มี 1 คนเป็นโควต้าของกองทัพ ซึ่งคือคนที่รักษาการอยู่ตอนนี้ แทนประธานาธิบดี “วิน มินต์” ซึ่งมาจากพรรค NLD

Advertisement

ส่วน อองซาน ซูจี ถือว่าเขามีสถานะเป็นประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐ ไม่ใช่ประธานาธิบดี ซึ่งเธอบอกว่า เธอเหนือประธานาธิบดีขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง คือเป็นเหมือน Goddess เป็นแม่ของพม่าไป ซึ่งกองทัพมองว่านี่คือเรื่องสำคัญ เพราะกองทัพพม่าสั่งสมบารมีมาอย่างต่อเนื่องหลาย 10 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1968 จึงไม่ต้องการให้อำนาจเหล่านี้หายไป”

“แต่รัฐบาลพลเรือนของ NLD เป้าหมายตอนแรกที่เข้ามา คือความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ อยากให้ อองซาน ซูจี เป็นประธานาธิบดีให้ได้ หลังจากนั้นก็มีความพยายามที่จะสร้างความปรองดองระดับชาติ โดยการไปเอาผู้นำชนกลุ่มน้อยต่างๆ มาคุยกัน และตั้งกรอบการร่วมมือ ตั้ง “ปางหลวงแห่งศตวรรษที่ 21” และ กระบวนการสันติภาพ (peace process) อีกมากมาย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

อุปสรรคที่ทำให้รัฐบาลพม่าไม่สามารถบรรลุกระบวนการสันติภาพได้ ก็เพราะไม่ใช่กระบวนการสันติ ที่รวมชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มจริงๆ แต่รวมเฉพาะกลุ่มที่รัฐบาล NLD มองว่า ‘คุยได้’ แต่สำหรับคนที่คุยยากหน่อย อย่าง กองทัพยะไข่ (Arakan Army) ก็ไม่ได้อยากคุยด้วย ซึ่งลักษณะรัฐบาลพลเรือนของพม่า คือเขาไม่ค่อยชอบคุยกัน รัฐบาลเองก็ไม่ค่อยชอบคุยกับกองทัพ กองทัพเองก็มีอีโก้ ไม่อยากคุยกับรัฐบาล การขาดการสื่อสารและถกเถียง (Lack of Conversation and Discussion) เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่า เพราะต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้ร่วมกันเพื่อพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง ไม่ได้อยากหาจุดกึ่งกลางอะไรมากมาย ขอแค่ให้ผ่านหู แล้วไม่ได้มาเหยียบเท้าของกันและกัน ก็โอเคแล้ว” ผศ.ดร.ลลิตากล่าว

Advertisement

เมื่อถามถึงสาเหตุ ที่กองทัพเมียนมาทำการรัฐประหาร

ผศ.ดร.ลลิตากล่าวว่า สำหรับกองทัพพม่า ที่มีรัฐประหาร เพราะเขาเจ็บเท้าแล้ว เพราะ NLD ไปเหยียบเท้าเขา ให้รู้สึกว่าเขาต้องตะโกนออกมาให้รู้ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยตะโกนมาหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ปลายปี 2563 ซึ่งชัดเจนมาก คือมีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของกองทัพออกมา ว่าไม่เห็นด้วยกับทางจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งของพม่าเปรียบเสมือนแขน-ขา ของ NLD ประมาณหนึ่ง เนื่องจากว่า NLD เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมา กองทัพจึงบอกว่าไม่พอใจ ในสิ่งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งทำ

กล่าวคือ NLD เองก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นประชาธิปไตยแบบที่ฉันได้ประโยชน์ อะไรก็ตามที่จะส่งเสริมให้พรรคเล็ก-พรรคน้อยเติบโต หรือส่งเสริมให้คนที่ชื่นชอบประชาธิปไตย แต่ไม่เห็นด้วยกับพรรค NLD เขาจะไม่ทำ และพยายามกีดกั้นตลอด ทำให้พม่ามีพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอยู่แค่พรรคหลัก พรรคเดียว ที่จะมีเสียงมากที่สุด คือพรรค NLD

“เมื่อกองทัพเคยพูดแล้วว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่เที่ยงตรง เพราะเป็นคนของ NLD และเคยมีกรณีกองทัพที่แอคทีฟที่สุดในตอนนี้ มีการจับตัวประกันอยู่ตลอด คือ กองทัพยะไข่ ที่เหมือนกับไปพูดคุยกับคนในกองทัพ และรวมหัวกันเพื่อประณาม NLD ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกมาก นั่นหมายความว่า กองทัพพยายามที่จะหาแนวร่วมเพื่อต่อต้านพรรค NLD โดยอ้างว่า ไม่มีความเข้าใจ ไม่ต้องการที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชนกลุ่มน้อย จึงเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์พอสมควร ที่กองทัพยะไข่ซึ่งเป็นกองทัพชนกลุ่มน้อย นำโดยคนรุ่นใหม่ ไปเข้าร่วมกับกองทัพ

“อาจจะมีประเด็นเรื่องที่ NLD ไปเหยียบเท้าของกองทัพ และอีกหลายกรณี โดยส่วนตัวไม่แน่ใจกรณี ทวาย ที่ว่า พรรค NLD อยู่เบื้องหลังการยกเลิกสัญญา ท่าเรือน้ำลึกที่ทวาย กับ บริษัทอิตาเลียนไทย ซึ่งเป็นเมกกะ โปรเจ็กต์ ร่วมทุนระหว่างไทยกับพม่า ถือกำเนิดขึ้นในยุคของทหาร และล่าช้ามาตลอดจนถึงยุค NLD ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วมีการยกเลิกสัญญากว่า 7 ฉบับ ของโครงการท่าเรือทวาย กับ อิตาเลียนไทย ซึ่งเราทราบอยู่แล้วว่า NLD ค่อนข้างห่วงเสียงของชาวบ้าน

เช่น ชาวบ้านร้องเรียนมากว่า มีการไล่ที่ และมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเพราะไม่มีมาตรฐานในการก่อสร้าง ซึ่งอาจจะทำให้ NLD รู้สึกหวั่นไหว และไม่ต้องการที่จะเข้าข้าง อิตาเลียน-ไทย รวมถึงอาจรู้สึกว่า อิตาเลียน-ไทย สนิทสนมกับกองทัพของพม่าด้วย นั่นหมายความว่า รัฐบาลไทยต้องหนุนหลังอิตาเลียนไทยอยู่ เพราะเป็นตัวแทนของรัฐบาลไทยที่ไปสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งอาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันก็ได้ แต่ส่วนตัวมองว่า การยกเลิกสัมปทานของโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย เกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการรัฐประหารของพม่าอย่างมาก ซึ่งมันอาจจะเป็นฟางเส้นเล็กที่ถมกันเรื่อยๆ เพราะมีฟางหลายเส้น”

อย่างไรก็ดี ผศ.ดร.ลลิตาเผยว่า หากสังเกตการแถลงการณ์ ของกองทัพพม่า นับตั้งแต่ที่มีการปฏิวัติ จะมีแถลงการณ์อยู่ 2 ฉบับ ที่พูดถึงการเลือกตั้งว่าไม่มีความถูกต้อง ชอบธรรม, กกต.โกง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาแทรกแซงไม่ให้การเมืองของพม่าเละเทะไปกว่านี้

“ไม่มีรัฐประหารใด ที่เป็นรัฐประหารอย่างชอบธรรม รัฐประหารก็คือการใช้อาวุธ คือการใช้กำลังเข้ามาล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรืออาจจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารอีกทีนึงก็ได้ การรัฐประหารหมายถึงว่า คนที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐประหาร หรือ Head of State หลังรัฐประหาร ไม่ได้ถูกประชาชนเลือกเข้ามา ดังนั้น จึงไม่มีความชอบธรรมอยู่แล้ว ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากองทัพพม่าไม่ต้องการที่จะใช้กระบวนการทางรัฐสภา หรือทางประชาธิปไตยเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างกองทัพ กับ NLD อีกแล้ว ซึ่งเขาก็ได้ใช้ทั้งประเทศ จับประชาชนทุกคนเป็นตัวประกัน เพราะก่อนหน้านี้ กองทัพพยายามเจรจากับรัฐบาล NLD และมีข่าวว่ากำลังเจรจาอยู่ แต่เนื่องจากอินเทอร์เน็ตถูกปิดไปทั้ง 3G 4G และ wifi จึงยังไม่ค่อยเห็นการวิเคราะห์ของคนพม่าเท่าไหร่นัก ยกเว้นนักวิชาการพม่าที่อยู่ภายนอกประเทศ รวมถึงมีบางคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตช่องทางอื่นได้ หรือสำนักข่าวอย่าง Frontier Myanmar ก็ตีพิมพ์บทวิเคราะห์ออกมาแล้ว”

เมื่อถามว่า ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับเมียนมา

ผศ.ดร.ลลิตากล่าวว่า สำหรับเมียนมา เวลาประกาศกฎอัยการศึก หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน จะประกาศเป็นระยะเวลา 1 ปี นั่นหมายความว่า กองทัพเมียนมามองเป็นเกมระยะยาว ซึ่งมีการเอารองประธานาธิบดี ที่เป็นคนของกองทัพขึ้นมาดำรงตำแหน่ง แทนประธานาธิบดีปัจจุบัน ซึ่งสำหรับคนที่ตามการเมืองของพม่าอยู่ จะมีความรู้สึกว่า ไม่ได้มีเหตุผลเพียงพอที่กองทัพจะใช้เพื่อการปฏิวัติ

การที่อ้างว่า กกต.ไม่มีความชอบธรรม หรือพรรค NLD ทำเกินเหตุ มีการถือพรรคถือพวกนั้น กล่าวอย่างตรงๆ คือ ฟังไม่ขึ้น ซึ่งอาจจะมีสาเหตุอื่น หรือความขัดแย้งลึก ทั้งภายในกองทัพเอง หรือระหว่างกองทัพกับ NLD ที่ไม่ได้บอกสาธารณชนว่าคืออะไร ซึ่งตอนนี้ สิ่งที่คนไทยทำได้ คือการติดตามข้อมูลจากแถลงการณ์ของกองทัพ ว่ามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น ว่าการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม และกองทัพต้องการกำจัด กกต.อย่างมาก

โดยแถลงการณ์ล่าสุดของกองทัพที่บอกว่า กองทัพเคยยื่นจดหมายไปทาง NLD แล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งให้ตรวจสอบเรื่องนี้ถึง 2 ครั้ง และบอกด้วยว่า แต่ “อองซาน ซูจี” ปฏิเสธที่จะตรวจสอบ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ตราบใดก็ตามที่ไม่เคารพคำสั่งของกองทัพ เท่ากับว่า พยายามกระด้างกระเดื่องหรือไม่ หรือพยายามสถาปนาตัวเองให้ยิ่งใหญ่กว่ากองทัพหรือไม่

“มันเป็นความกลัว มันเป็นความพารานอยด์ และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ฉะนั้น จะบอกว่าฟางเส้นสุดท้ายคืออะไร ส่วนตัวค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าเขาคิดเรื่องการปฏิวัติ เขาคิดมานานแล้ว มันอยู่ในหัวของผู้นำกองทัพมานานแล้ว เพียงแต่จะปฏิวัติเมื่อไหร่เท่านั้นเอง แสดงว่าวันนี้เป็นวันที่ฤกษ์ดี”

เมื่อถามว่า การปฏิวัติรัฐประหารของกองทัพเมียนมา จะเป็นการเรียกแขกของประเทศไทย ให้เกิดการรัฐประหารในไทยด้วยหรือไม่

ผศ.ดร.ลลิตาปิดเผยว่า ส่วนตัวมองว่า ไม่ เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐ กุมคะแนนเสียงได้มากพอสมควร ซึ่งอาจจะมองว่ามีโอกาสชนะการเลือกตั้ง ดูสนามของ กทม.ก่อนก็ได้ พปชร.มีสิทธิที่จะชนะ

“เขาจะพูดว่า สำหรับฝ่ายก้าวหน้า คุณมีปัญญาชนะได้แค่เขตเมืองเท่านั้น แต่ไปดูสนาม อบจ. อบต.ไม่มีพรรคก้าวหน้าที่ชนะการเลือกตั้งได้เลย รัฐบาลไทยจึงมองว่ามีสิทธิชนะการเลือกตั้งสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยกำลังลดอิทธิพลลงไปมาก อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยเอง ก็ไปดูดคนจากเพื่อไทยมา แต่ส่วนตัวไม่อยากเปรียบเทียบการเมืองไทยกับการเมืองพม่า เพราะมีรัฐประหารก็จริง แต่เป็นรัฐประหารที่มาจากเงื่อนไขทางทางการเมือง และสังคมที่แตกต่างกัน” ผศ.ดร.ลลิตากล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image