สุวิทย์ แจงยิบ เหตุไม่นิ่งเฉยเหมือนแกนนำ กปปส.คนอื่น ย้ำถ้าบ้านเมืองไม่รอด ตัวเองเฉยชา ขออยู่ไม่รอดดีกว่า
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เพจเฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ ของนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ (อดีตพระพุทธะอิสระ) ได้ระบุถึงกรณี ที่มีผู้ใหญ่หลายคนแสดงความหวังดีมาบ่อยครั้งว่า เหตุใดตนจึงไม่อยู่เฉยๆ หมือนกับแกนนำ กปปส. คนอื่นๆ ที่เขาอยู่นิ่งๆ ซึ่งอาจมีผลทางคดีในเชิงบวกได้นั้น
นายสุวิทย์กล่าวว่า มีผู้ท้วงติงด้วยความหวังดี ผู้ใหญ่หลายคนแสดงความหวังดีมาหลายครั้งแล้วว่า ท่านทำไมไม่อยู่เฉยๆ นิ่งๆ เหมือนกับแกนนำ กปปส.คนอื่นๆ ที่เขาอยู่นิ่งๆ ซึ่งมันอาจจะมีผลทางคดี ในเชิงบวกก็ได้ เช่นเดียวกัน หากท่านยังมีบทบาทโดดเด่นอยู่ในขณะนี้อาจจะมีผลกระทบกับคดีกบฏ อั้งยี่ ซ่องโจร และขัดขวางการเลือกตั้งที่ถูกกล่าวหาก็ได้ สรุปรวมคือไม่ทำตนให้เป็นประเด็นได้ น่าจะเป็นผลดีต่อคดีที่ศาลกำลังจะมีคำพิพากษา ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
“พุทธะอิสระจึงตอบท่านผู้หวังดีไปว่า เพียงเพื่อทำให้ตัวเองรอด แล้วบ้านเมืองไม่รอด สถาบันมีภัย แล้วเรายังทำเฉยชา เพื่ออยู่รอด เช่นนั้น พุทธะอิสระยอมอยู่ไม่รอดดีกว่า เพราะถ้าคิดแต่จะเอาตัวรอด คงไม่ต้องเที่ยวไปยื่นเรื่องฟ้องให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบคดีเงินทอนวัด จนสามารถนำคนผิดติดคุกได้ดอก และเพราะคิดจะเอาตัวรอดอยู่แบบสบายๆ ก็ยอมก้มหน้ารับกิจนิมนต์ของลัทธิธรรมกาย แล้วปล่อยให้ธรรมกายครอบงำสังฆมณฑล บิดเบือนพระธรรมวินัยต่อไป”
นายสุวิทย์กล่าวว่า หากเพราะคิดจะเอาตัวรอดอยู่แบบสบายๆ คงไม่ต้องออกไปราวีกับพวกนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมือง จนชาวนาต้องฆ่าตัวตายดอก และเพราะคิดจะเอาตัวรอด คงไม่ออกมารบกับพวกม็อบคณะราษฏร พรรคการเมืองที่คิดจะล้มเจ้า ล้มสถาบันดอก
“และถ้าการอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เพียงเพื่อจะทำตัวให้รอด พุทธะอิสระก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม ส่วนเรื่องผลทางคดี พุทธะอิสระเชื่อว่า ศาลท่านคงพิจารณาพยานหลักฐาน ตามที่โจทก์และจำเลยนำมาหักล้างเป็นหลัก หาได้นำเอาประเด็นของพฤติกรรม ทำ พูด คิด ของฉัน ที่ทำให้บ้านเมืองในเวลานี้ มาเป็นหลักในการตัดสินคดีดอก
“และถ้าผลทางคดี จะออกมาเป็นโทษต่อพุทธะอิสระ พุทธะอิสระก็หาได้สะดุ้งกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่อาจจะได้รับไม่ หากต้องกลับไปติดคุกอีกครั้งก็ถือได้ว่าเราได้เข้าไปพักผ่อนเบาบาง ว่างจากภาระที่ตนต้องแบกต้องรับเอาไว้”
นายสุวิทย์กล่าวว่า สรุปรวม ไม่ว่าคำตัดสินของศาลจะเป็นคุณหรือเป็นโทษอย่างไร พุทธะอิสระก็พร้อมที่จะยอมรับ โดยมิได้ปริปาก บ่นด่าว่า หรือตำหนิต่อผู้ใด เพราะนี่คือวิถีของชัมบาลาที่เราเลือกแล้ว