ที่เห็นและเป็นไป : เพรียกหา‘ประชาชน’ โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

การเมืองเข้าสู่สัปดาห์อภิปรายไม่ไว้วางใจ

มีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรวม 10 คน ที่จะถูกฝ่ายค้านซักฟอก และชี้ให้เห็นว่า “ไม่ควรมานั่งบริหารจัดการประเทศต่อไปแล้ว”

บางคนอาจจะถูกกล่าวหาว่า “อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับประเทศ” แต่บางคนซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนใหญ่ที่ฝ่ายค้านจะขุดคุ้ยหลักฐาน หรือชี้ให้เห็นว่าการประพฤติปฏิบัติที่ผ่านมา “สร้างความเสียหาย เป็นอันตรายต่อชีวิตประชาชนอย่างไร”

ช่วงโหมโรงที่ผ่านมาฝ่ายค้านยืนยันด้วยความเชื่อมั่นว่าหลักฐานข้อมูลที่จะนำมาชี้ให้เห็นจะทำให้คนที่ถูกอภิปรายอยู่ไม่ได้

Advertisement

ทุกคนที่ฟังประกาศนั้นแม้จะเชื่อว่าฝ่ายค้านมีข้อมูลหลักฐานที่สามารถถล่มคนที่ถูกซักฟอกให้ยับคาสภาได้ แต่กลับไม่มีใครเชื่อว่า “คนที่ถูกอภิปรายจะอยู่ไม่ได้”

เนื่องจากที่ผ่านมารัฐมนตรีหลายคนที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะคนที่รัฐบาลชุดนี้ ยับเยินมาแล้วหลายคน หลายครั้ง

แต่ไม่เคยมีใครอยู่ไม่ได้เพราะหลักฐานทีเด็ดของฝ่ายค้าน

Advertisement

บางคนสะบักสะบอมจนน่าสังเวชก็ยังชูคออยู่ได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เนื่องจากถึงที่สุดแล้ว “อยู่ต่อได้หรือไม่” ในวัฒนธรรมการเมืองที่ถูกสร้างให้เอาเสียงโหวตส่วนใหญ่เป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่ด้วยสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีของคนที่ถูกอภิปราย และผู้ร่วมเกี่ยวข้อง

ไม่ว่าฝ่ายค้านอภิปรายด้วยหลักฐานที่แฉถึงความเลวร้าย เป็นความเสียหายน่าอับอายของประเทศชาติแค่ไหน ไม่มีทางที่จะทำให้รัฐมนตรีอยู่ไม่ได้ เพราะ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลถูกประเพณีและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไทยๆ ที่ต้องเห็นความเป็นพวก เป็นฝ่ายเดียวกันสำคัญกว่าความเหมาะสม ดีงามต่อส่วนรวม ไม่มีทางที่ผลโหวตจะทำให้รัฐมนตรีคนไหนอยู่ไม่ได้ แม้หลังถูกอภิปรายจะเห็นชัดๆ ว่ามีพฤติกรรมเลวร้ายเพียงใดก็ตาม

วัฒนธรรมและประเพณีที่เดินแยกทางกับจิตสำนึกที่ดีงามนี้จึงทำให้บทบาทของสภาผู้แทนราษฎร หรือตัวแทนประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดไม่มีพลังพอที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่ส่งผลอย่างที่ควรจะเป็นได้

หนทางเดียวที่จะแก้ไขได้ คือประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจที่แท้จริงจะต้องเข้ามามีบทบาทในการเยียวยา

จะต้องทำหน้าที่ของประชาชนที่ช่วยกันสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ที่เอื้อต่อความเหมาะสมดีงามมากกว่าแบบพวกมากลากไป

การที่จะแสดงบทบาทเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดวัฒนธรรมการเมืองดังกล่าวนี้ ก่อนหน้านั้นอาจจะทำได้ยาก ด้วยเหมือนว่าประชาชนเมื่อเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งแล้วก็จบไป หลังจากนั้นผู้แทนที่เลือกเข้าไปจะแสดงความเห็นและลงมติอีลุ่ยฉุยแฉกเสียหายอย่างไร ประชาชนหมดทางที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต้องรอจนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่

แต่วันนี้ไม่ใช่เช่นนั้นอีกแล้ว

ประชาชนทุกคนมีสื่อในมือตัวเอง โซเชียลมีเดียต่างๆ สามารถสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ที่จะเป็นการแสดงท่าที บทบาทร่วมตรวจสอบนักการเมืองทุกฝ่ายได้มากขึ้น

เพียงแต่เมื่อเห็นความไม่ดีไม่งามนั้นแล้วจะต้องรู้ว่าการนิ่งเฉยไม่ส่งผลให้การเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

และการหยุดนิ่งนั้นจะทำให้เป็น “การเมืองน้ำเน่า” ที่ส่งผลเสียหายต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติ ต่ออนาคตที่ดีงามของลูกหลาน

บทบาทของประชาชนจะต้องไม่ละวางการแสดงออกเพื่อช่วยผลักดันให้สร้างวัฒนธรรมการเมืองที่ดีงามขึ้นมาทดแทนความเลวร้ายที่ต้องจมปลักกันมายาวนาน

เริ่มต้นร่วมแสดงบทบาทเพิ่มขึ้นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อพัฒนาสู่การทำหน้าที่ที่มากกว่า คือพร้อมแสดงออกทุกรูปแบบเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงประเพณีการเมืองที่เลวร้าย สร้างวัฒนธรรมการเมืองที่ดีงามขึ้นมา

ในยุคสมัยเช่นนี้

ไม่มีหนทางอื่นเลย นอกจากประชาชนจะต้องร่วมกันออกมาประกาศความเป็นเจ้าของอำนาจ เพื่อช่วยกันนำพาประเทศชาติไปสู่สภาวะที่เป็นความหวังของลูกหลานที่จะเติบต่อไป และเกิดมาใหม่หลังจากนี้ได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image