ครบ 1 ปียุบอนาคตใหม่ ย้ำ กำจัดความคิด อนค.เป็นเรื่องผิด ‘ก้าวหน้า-ก้าวไกล’ โหมไฟต้นลมลามทุ่งแล้ว

21 กุมภาพันธ์ 2563 คือวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก ยุบพรรคอนาคตใหม่ พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง กรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่กระทำอันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรค มีกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ตามมาตรา 92 วรรคสอง

21 กุมภาพันธ์ 2564 จึงครบกำหนด 1 ปีของการยุบพรรคอนาคตใหม่

อย่างไรก็ดี พรรคอนาคตใหม่ ออกมาเคลื่อนไหว พร้อมกล่าวถึงกรณีนี้ว่า ครบรอบ 1 ปี ยุบ “พรรคอนาคตใหม่” ปฏิบัติการแห่ง “คณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล” โหมไฟต้นลมให้ลามทุ่ง

วันนี้เมื่อ 1 ปีที่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยคน 7 คน ใส่ชุดครุยขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์ กระทำการในนามของศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติเสียงข้างมากให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ได้แก่ นุรักษ์ มาประณีต, จรัญ ภักดีธนากุล, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, บุญส่ง กุลบุปผา, ปัญญา อุดชาชน, วรวิทย์ กังศศิเทียม, และอุดมศักดิ์ นิติมนตรี

Advertisement

ซึ่งไม่ว่าจะเวียนจบครบรอบกี่ปี ก็คงต้องคงนำรายชื่อของทั้งหมดนี้ขึ้นมาบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งการเมืองไทย

เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ “พรรคอนาคตใหม่” ต้องสิ้นสลายไปจากสารบบกฎหมาย โดยมีอายุอยู่ได้เพียงแค่ 1 ปี 4 เดือน 18 วันเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือนต่อสังคม และสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ มากมาย

เป้าหมายที่ผู้มีอำนาจต้องการจัดการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” กลับกลายเป็นความผิดพลาด จนเกิดเป็นลมโหมกระพือทำให้ “ไฟลามทุ่ง” ที่ถึงวันนี้ไม่ว่าจะพยายามหมุนเข็นนาฬิกาย้อนไปอย่างไรก็ตาม สังคมไทยก็ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป

Advertisement

อ่านข่าว : ศาลรธน.มติ 7 ต่อ 2 ยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง กก.บห.พรรค 10 ปี

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า การยุบพรรคในวันนั้นก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ทำให้ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ออกมาชุมนุมอย่างมากมายทั่วประเทศไทย โดยมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในเบื้องต้น คือ 1.หยุดคุกคามประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิและเสรีภาพตามหลักประชาธิปไตย 2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่มาจากเจตจำนงของประชาชนเพื่อประโยชน์แก่สาธารณชนอย่างแท้จริง และ 3.ยุบสภาเพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในการเลือกผู้แทนของตนได้อีกครั้ง

แต่ทว่า เมื่อรัฐบาลเพิกเฉย และยังมีการนำเอาอำนาจนอกระบบมาแทรกแซงระบบการเมืองไทย ข้อเรียกร้องใหม่จึงเกิดขึ้น

นั่นคือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องลาออก 2.ต้องเปิดช่องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน และ 3.ปฏิรูปสถาบันให้สอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนี่เองที่เป็นสิ่งยืนยันว่า “สังคมไทยจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมได้อีกต่อไป”

สำหรับปฏิบัติการแห่ง “คณะก้าวหน้า-พรรคอนาคตใหม่” ตลอดระยะเวลา 1 ปี หลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ทุกคนยังคงเดินหน้าทำงานกันต่อไปตามบทบาทและหน้าที่ โดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางเดียวกันนั่นคือ เปลี่ยนระบบโครงสร้างประเทศไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

เพราะตราบใดที่โครงสร้างทางการเมืองยังเป็นอย่างนี้อยู่ ต่อให้พรรคการเมืองที่มี ส.ส.ที่มุ่งมั่น มีอุดมการณ์เข้าไปในสภาก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะตามใดที่โครงสร้างสังคมยังเป็นอย่างนี้อยู่ ต่อให้มีคนที่มีความรู้ความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์แค่ไหนก็ตามก็ไม่อาจทลายกำแพงแห่งการผูกขาดก้าวไปสู่ความสำเร็จได้เลย

และนี่คือปฏิบัติการแห่งพรรคก้าวไกลที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ยืนยันชัดเจนว่า จะยึดหลักการที่เคยร่วมกันทำงานในอดีตพรรคอนาคตใหม่ ขอให้พี่น้องประชาชนได้มั่นใจ แม้จะอยู่บ้านหลังใหม่แต่หัวจิตหัวใจยังเหมือนเดิม เรายังคงยืนอยู่ข้างประชาชน ยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย ยืนหยัดต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร และผลักดันวาระนโยบายที่ก้าวหน้าต่อไป

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นพรรคก้าวไกลสานต่อร่างกฎหมายที่เคยยื่นไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นพรรคอนาคตใหม่ ตลอดจนเสนอญัตติร่างกฎหมายต่างๆ ในฐานะที่เป็นผู้แทนนำเสียงของประชาชนไปทำให้ปรากฏในสภาผู้แทนราษฎร

พรรคก้าวไกล

ไม่ว่าจะเป็นการเสนอญัตติตั้ง กมธ. วิสามัญติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณและมาตรการแก้ไขปัญหาภายใต้วิกฤตการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19, การเสนอญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 และที่ฮือฮาที่สุดในตอนนี้คือ การเสนอญัตติ ร่างแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก 5 ฉบับ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

อ่านข่าว : ‘ก้าวไกล’ จ่อเสนอร่าง กม. 5 ชุด พร้อมแก้มาตรา 112 ‘พิธา’ ไม่หวั่น หากเป็นประเด็นให้ยุบพรรค

สำหรับปฏิบัติการแห่งคณะก้าวหน้าที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะ ประกาศชัดตั้งแต่วันยุบพรรอนาคตใหม่ว่า นี่คือเวลาพิสูจน์ว่าเขาทำลายเราไม่ได้ นี่เป็นเวลาของการลุกขึ้นยืนให้มั่นคง มิใช่เวลาที่จะเสียใจ ร้องไห้ เพราะพรรคอนาคตใหม่เป็นมากกว่าพรรคการเมือง อนาคตใหม่คือจิตวิญญาณ อนาคตใหม่คือผู้คน อนาคตใหม่คือการเดินทาง วันนี้ ยานพาหนะที่ชื่อพรรคอนาคตใหม่สิ้นสุดลง แต่ผู้คนยังเดินทางต่อ

และการเดินทางต่อของคณะก้าวหน้า จึงมาในรูปแบบของการรณรงค์ขับเคลื่อนความคิด ปักธงความคิดที่ก้าวหน้า และสร้างพลเมืองก้าวหน้าให้กับประเทศไทย ด้วยภารกิจ อย่าง 1.การสร้างเครือข่ายทั่วประเทศ 2.การรณรงค์ทางความคิดทั่วประเทศไทย และ 3.การรณรงค์ให้กับการเลือกตั้งท้องถิ่นในทุกระดับ ปราฏออกมาในรูปแบบของกิจกรรมอย่าง โครงการ Common School, อ่านเปลี่ยนโลก (Reading Revolution) รวมถึงการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น

ยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่ “ปฏิบัติการแห่งพรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า” ยังคงดำเนินต่อ การเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารคณะก้าวหน้าให้พ้นเส้นทางการเมือง การกำจัดความคิดแบบอนาคตใหม่ให้หมดไป กลายเป็นความคิดที่ผิด เพราะความคิดแบบอนาคตใหม่ได้เจริญงอกงาม เบ่งบาน ไม่ว่าจะผ่านการทำงานอย่างเข้มข้นจริงจังของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะผ่านการทำงานขับเคลื่อนทางความคิดอย่างหนักแน่นของแกนนำคณะก้าวหน้า ในช่วงตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

ดังที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งปัจจุบันคือเลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้เคยประกาศไว้ว่า หากผู้มีอำนาจคิดว่านี่คือการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” จะเป็นความคิดที่ผิดเพราะนี่คือ “ไฟลามทุ่ง” ซึ่งที่สุดการยุบพรรคในวันนี้เมื่อปีที่แล้ว ก็ยืนยันว่าไม่ใช่จุดจบ แต่ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

“ปีศาจแห่งกาลเวลา” ได้ถูกปลุกให้ตามหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า จากความตั้งใจของผู้มีอำนาจที่ต้องการจะ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อสกัดกั้นโลกใหม่ ความคิดใหม่ หากแต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม คือได้กลายเป็น “ไฟลามทุ่ง” ให้โลกใหม่ ความคิดใหม่ เผยตัวตนขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจจะมีอะไรหยุดยั้งปีศาจแห่งกาลเวลาตนนี้ได้เลย

อ่านข่าว : ‘พิธา’ โพสต์ 1 ปีหลังยุบ ‘อนาคตใหม่’ ไม่ใช่การ ‘ตัดไฟแต่ต้นลม’ แต่มันคือ ‘ไฟลามทุ่ง’

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image