ความไม่ไว้วางใจ ใน ‘สภา’ ความไม่ไว้วางใจ ใน ‘สังคม’
ทั้งๆที่มีการชี้จากฟากของรัฐบาลว่า การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ ไว้วางใจไม่สะเทือนต่อ”สถานะ”ของรัฐบาล ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ จะต้องมีการปรับครม.
แต่หากมองเข้าไปในแต่ละการเคลื่อนไหวอันเกิดขึ้นภายในรัฐบาล ภายในพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็จะสัมผัสได้
สัมผัสได้ในการแต่งตั้งและมอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าไปดูโครงการนิคมสร้างตนเองจะนะ
ผลก็ออกมาเป็นมติว่าจะ ‘ชะลอ’ โครงการนี้ออกไป
ถามว่ามติเช่นนี้สัมพันธ์หรือไม่กับการที่ นายประเสริฐพงศ์ ศรนุวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายทั่วไปต่อการทุจริตเชิงนโยบายจาก โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ
เช่นเดียวกับการที่ ส.ส.ใน ‘กลุ่มดาวฤกษ์’ แห่งพรรคพลังประชา รัฐ ‘งดออกเสียง’ ต่อ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
นี่มิได้เนื่องจากการอภิปรายต่อ ‘กระทรวงคมนาคม’ หรอกหรือ
ปัญหาอันเกิดขึ้นระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะปฎิเสธได้ละหรือว่ามิได้เนื่องแต่ ‘ญัตติ’ ในที่ประชุมสภา
ทำไม นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะต้องแข็งกร้าว ทำไม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะต้องโอนอ่อน
สังคมกำลังจับตาว่าพรรคพลังประชารัฐจะหาทางออกอย่างไร
เหมือนกับสังคมกำลังจับตาว่าพรรคพลังประชารัฐจะบริหารจัด การอย่างไรต่อคะแนนของ นายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ได้ไว้วางใจ 263 ต่อคะแนนของ นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ ที่ได้ไว้วางใจ 258
ยิ่งกว่านั้น การที่ 3 ส.ส.แห่งพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความไม่ไว้วางใจต่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผลจะออกมาอย่างไร
ในเมื่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ คือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
สังคมจึงทอดตามองไปยังบทบาทและการเคลื่อนไหวของพรรค พลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ อย่างแน่วแน่
ทำไมพรรคร่วมฝ่ายค้านจะไม่รู้ว่ามือของ ส.ส.ที่มีอยู่ของตนเพียง 200 กว่าไม่อาจต่อสู้กับมือของส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่มีมากกว่า 270 อย่างเด่นชัด
โจทย์ที่ฝ่ายค้านนำเสนอจึงอยู่ที่รัฐบาล อยู่ที่แต่ละพรรคร่วมรัฐ บาลและที่สำคัญก็คือ อยู่ในความรู้สึกและบทสรุปของประชาชน