แก้วใส ร่วมเดินทะลุฟ้า ซัดรัฐขีดแผนที่ทับกลุ่มชาติพันธุ์ ‘ใจแผ่นดิน’ ชี้ อย่าให้กำแพงกั้น ความเป็นคน

‘แก้วใส’ ร่วมเดินทะลุฟ้า ซัดรัฐ ขีดแผนที่ทับกลุ่มชาติพันธุ์ ‘ใจแผ่นดิน’ แนะ ไล่จับคนให้สัมปทาน – ชี้ อดีตมนุษย์อยู่ในป่า อย่าให้กำแพง กั้น ‘ความเป็นคน’

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กิจกรรม “เดินทะลุฟ้า” คืนอำนาจประชาชน ของ กลุ่มราษฎร และ People Go Network ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบเดินเท้า จากจังหวัดนครราชสีมา ถึงกรุงเทพมหานคร รวมระยะทาง 247.5 กิโลเมตร เพื่อขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมเรียกร้องให้ปล่อย 4 แกนนำ ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

สำหรับการเดินในวันที่ 8 มีกำหนดระยะทาง 14.8 กิโลเมตร จาก ตำบลกลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ถึง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี
จุดเริ่มต้น ที่ ลานหน้าร้านแหนมเนือง ท่าลานทอง
จุดพักที่ 1 ปั้มน้ำมันไม่มีชื่อ ข้างไปรษณีย์ สาขากลางดงเก่า ระยะทาง 3.2 กม.
จุดพักที่ 2 ปั๊มน้ำมันปตท.กลางดง ระยะทาง 3.2 กม.
จุดพักที่ 3 พักกลางวัน โรงอาหารด้านหลัง องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค) ระยะทาง 3.9 กม.
จุดพักที่ 4 ปั้มแอลพีจี ไม่มีชื่อ ระยะทาง 2.8 กม.
จุดสิ้นสุด ตลาดผักป่า มวกเหล็ก ระยะทาง 1.7 กม.

ทั้งนี้ ในการเดินช่วงที่ 3 เริ่มต้นที่ 115 กิโลเมตร มีการเดิน 112 ก้าว สงบนิ่ง 112 วินาที เพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกด้วย

ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 16.35 น. มวลชนถึงจุดสิ้นสุดการเดิน ที่ ตลาดผักป่า อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี

Advertisement

นายณัฐพงษ์ ภูแก้ว หรือ “แก้วใส” นักร้อง และมือกีตาร์วงสามัญชน ได้ร่วมเดินทะลุฟ้า ในวันที่ 8 พร้อมทั้งขับกล่อมบทเพลง สร้างสีสันขณะเดินขบวน เพื่อส่งสัญญะว่าประชาชนที่ไม่ยอมไม่ทนใต้อำนาจเผด็จการอีกต่อไป พร้อมเรียกร้องความเป็นธรรมให้กะเหรี่ยงชาวบางกลอย-ใจแผ่นดิน จากการที่ภาครัฐผิดสัญญาที่ลงนามไว้

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ข้อแรก คุณเป็นถึงรัฐบาล รัฐมนตรี โดยปกติคุณมีหน้าที่ต้องดูแลประชาชนอยู่แล้ว แล้วคุณก็เซ็นต์ลงนามด้วยปากกา ด้วยน้ำหมึกของพวกคุณเอง แต่สุดท้ายคุณก็ลบลายเซ็นต์ที่ให้สัญญากับพี่น้องว่าจะถอนกำลัง ที่เข้าไปคุมพื้นที่ เข้าไปคุกคามพี่น้อง อันที่สอง คือเรื่องการมีกรรมการ และสามคือยุติการดำเนินคดี แต่ทั้งสามข้อ เจ้าหน้าที่ของรัฐผิดข้อตกลงเองจากที่ตัวเองเซ็นต์ไว้ สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกก็คือ “โกหกประชาชน” แล้วจะให้เราไว้ใจได้อย่างไรว่ากรณีอื่นๆ พวกเขาจะไม่ทำอย่างนี้อีก ไม่แปลกที่คนเดือดร้อนจะต้องออกมาเรียกร้องในประเด็นของตัวเอง ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่คนที่มีหน้าที่ดูแลประชาชน กลับเป็นคนผิดสัญญาเอง อย่างนี้ก็ไม่มีความเชื่อถืออีกต่อไป ที่รัฐบาล รวมถึงคณะทำงานของรัฐบาลนี้ จะอยู่ต่อ

Advertisement

“หลายที่ชาวบ้านอยู่มาก่อน แต่อุทยานก็ไปขีดแผนที่ทับที่อยู่เขา แล้วมาตรการก็ทำแบบเดียวกัน คือไล่คนออกมา ซึ่งไม่เป็นธรรม จะมาอ้างว่าป่าหายไป แประเด็นคือ เขาอยู่มาก่อน แต่คุณไปขีดทับเขา แล้วคุณก็บังคับเขา เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ คนกับป่า ชีวิตคน คุณจะเลือกเอาอะไร อย่ามาอ้างเรื่องทำลายป่า ถามว่าสมัยก่อนใครเป็นคนทำลายป่า รัฐบาลนะที่เป็นคนทำลายป่า ให้สัมปทานมาตั้งแต่นานแล้ว เท่าที่จำได้ ปี 35 ก็มีแล้ว คือไปไล่จับคนให้สัมปทานจะดีกว่า เพราะพื้นที่พี่น้องทำกินก่อนหน้านั้นก็ไม่มีอะไร แต่พอจะประกาศเป็นมรดกโลกเท่านั้นแหละ ก็กุลีกุจอไปเอาเขาออกมา บังคับเขาออกมา แล้วการที่เขาต้องลงมาอยู่ในพื้นที่ที่รัฐจัดสรรให้ ก็ไม่สามารถอยู่ได้จริงๆ เท่าที่คนจะมีชีวิตอยู่และพัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น เขาไม่ได้สบายใจที่จะอยู่ตรงนั้นเลย”

นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า ตนได้ลงพื้นที่ เห็นชาวบ้านต้องขออนุญาตทุกอย่าง หากจะทำอะไร มีบางองค์กรลงไปช่วยเหลือก็แค่ ไปเอาพระบังหน้า ทำให้เห็นว่าช่วยเหลือคนแล้ว บางองค์กรเข้าไปก็เหมือนไปกดเขาไว้ เหมือนตรงนั้นเป็นสวนสัตว์ มีการสร้างพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว พยายามให้ดูเป็นพื้นทางวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้า (culture) แต่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้านจริง ชาวบ้านจะทำอะไรก็ลำบาก รายได้ก็น้อย สิ่งสำคัญคือเขาต้องมีข้าวกิน แต่ประเด็นคือที่นั่นปลูกข้าวได้ยากมาก เอาอะไรไปยัดให้เขาก็ไม่รู้ ให้เขาไปปลูกโดยที่ไม่ใช่วิถีของเขา ไม่แน่ใจว่าคนเมืองที่ชอบสีเขียวของป่าจะเข้าใจได้หรือไม่ ว่าความเป็นคน ความเป็นมนุษย์มันสำคัญแค่ไหน มากกว่าแค่ต้นไม้ แล้วสิ่งสำคัญคือคุณไปละเมิดเขา ไม่แปลกที่พี่น้องต้องออกมาเรียกร้อง สิ่งที่ต้องยืนยันคือ เป็นสิทธิที่เขาควรจะอยู่ได้ แต่รัฐเองเป็นคนตระบัดสัตย์ เป็นคนโกหกประชาชน รัฐเองที่เป็นคนสร้างความไม่ชอบธรรมตั้งแต่แรก นี่คือความเป็นจริง คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง นี่คือคนที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน

“คนในประเทศนี้ก็เป็นชาติพันธุ์ทั้งนั้น ในพม่าก็มีหลากหลาย ชาติพันธุ์ก็คือคน ความหมายของคนก็คือ เท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จะทำอะไรก็เข้าใจความเป็นคนหน่อย เคารพศักดิ์ศรีกันหน่อย มีหัวจิตหัวใจกันหน่อย ไม่ใช่ว่าอยากจะทำอะไรกับใครก็ได้ กรีดเลือดกรีดเนื้อออกมาก็มีเลือดเหมือนกัน ขอให้มองตรงนี้บ้าง อย่าไปมองแค่ตัวเลขในเชิงเศรษฐกิจ แค่เงินทอง แค่ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มที่คุณจะได้มา อย่ามองเขาเหมือนสัตว์ เหมือนตัวอะไรที่จะฆ่าก็ได้ ถ้าจะบอกว่า ‘ชาติพันธุ์ก็คือคน’ ผมก็จะบอกว่า ‘คุณก็คือคน’ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหน เราก็คือคนเหมือนกันหมด แต่ก่อนคนเราอยู่ในป่า เพียงแค่ความเจริญเข้ามา คนส่วนหนึ่งก็กระโดดจากป่าไปอยู่เมือง ไม่รู้กำแพงอะไรที่มากั้นคนกับคนเอาไว้ เพียงแค่เราอยู่กันคนละพื้นที่ กลับรังเกียจเดียดฉันท์กัน ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ อย่ามองเขาว่าเป็นคนอื่น ‘คน’ ไม่มีอื่น อย่าแบ่งว่าเขาคือคนป่า คนก็คือคนเหมือนกัน ทำลายกำแพงระหว่างหัวใจคน ทำลายกำแพงความเกลียด ความกลัว ทำลายม่านหมอกที่มันบังตาของเราไว้ ที่ไม่รู้ใครสร้างมาแล้วมาแบ่งพวกเราออกจากกัน แล้วเราจะกลับเข้ามาสู่ความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนเหมือนกันที่มองว่า คุณคือคน ฉันคือคน แล้วเราจะเข้าใจกัน จะมีการจัดสรรผลประโยชน์ที่เหมาะสมซึ่งกันและกัน”

นายณัฐพงษ์เปิดเผยด้วยว่า พี่น้องบางกลอยก็สู้อยู่ พี่น้องในเมืองเองก็สู้ ไม่ว่าจะเรื่องประเด็นของพื้นที่ หรือประเด็นในเมือง คือประเด็นเรื่องโครงสร้างทางการปกครองที่เชื่อมกันหมด ทำไมพี่น้องถึงโดนกระทำแบบนั้น เพราะมาจากนโยบาย นโยบายมาจากไหน ก็มาจากรัฐ รัฐก็คือโครงสร้างทางการเมืองที่เราใช้ในการปกครองประเทศนี้ ปฏิเสธไม่ได้ที่หลายคนบอกว่า แยกประเด็นบางกลอย แยกประเด็นป่าออกจากการเมือง เป็นไปไม่ได้ เพราะประเด็นนี้มาจากการเมือง

ดังนั้น ไม่ว่าจะประเด็นชาวบ้าน หรือ ประเด็นการเมือง ต้องสู้ร่วมกัน อยากฝากถึงคนอื่นๆ ทั้วไปที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นมาสู้ ให้ออกมาสู้ด้วยกัน แสดงตัวตนออกมาไม่ว่าทางใดก็ตามที่คุณสามารถทำได้ ให้เห็นว่านี่คือพลัง ถ้าเรายังเมินเฉยกับเรื่องราวเหล่านี้ของสังคม หรือเราชินชา รับรองว่าความฝันที่เราอยากเห็นสังคมที่ดีกว่า ภายใต้ประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน ที่เราร่วมกำหนดชะตาชีวิตของเราเองได้ มันจะไม่เกิดขึ้น

“มาเดินกันแบบนี้ ให้เพื่อนๆ เราได้เห็น ข้อมูลข่าวสารทุกวันนี้ในโลกอินเตอร์เน็ตมันเยอะมาก ลองเปิดใจตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม แล้วคุณจะออกมาเองโดยที่ไม่มีใครต้องบอกให้คุณออกมา ถ้าคิดว่าสิ่งที่เราทำกันอยู่นี้ จะทำให้ชีวิตเราดีกว่า ก็ออกมาเถอะครับ ออกมาเป็นเพื่อนกัน

แม้การต่อสู้จะเหนื่อยล้าแค่ไหน หรือเจ็บปวดแค่ไหน โดนจับแค่ไหน เสี่ยงต่อชีวิตแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่สู้ มันก็จะอยู่อย่างนี้ เราต่างคาดหวังให้สังคมดีเช่นกัน” นายณัฐพงษ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image